เมนู

อรรถกถาธรรมจักกัปปวัตตนวรรคที่ 2



อรรถกถาปฐมตถาคตสูตร



คำว่า กรุงพาราณสี ได้แก่ พระนคร ที่มีชื่อ อย่างนี้.
คำว่า อิสิปตนมิทายวัน ได้แก่ ในป่าที่ได้ชื่ออย่างนี้ ด้วยอำนาจการตก
ไปแห่งฤๅษีทั้งหลาย. ในอารามกล่าวคือป่าที่ชื่อว่ามิคทาย เพราะให้อภัยแก่
เนื้อทั้งหลาย ด้วยอำนาจการให้อภัย. อธิบายว่า ก็ฤๅษีทั้งหลายที่เป็นสัพพัญญู
เกิดขึ้นแล้ว ๆ ย่อมตกไป คือ นั่งในป่านั้น เพื่อให้ธรรมจักรเป็นไป. แม้ฤๅษีผู้
เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ล่วงไป 7 วันออกจากสมาบัติ ทำกิจมีการ
ล้างหน้าเป็นต้น ที่สระอโนดาต มาทางอากาศจากเงื้อมเขาชื่อว่านันทมูลกะ
แล้วตกลงไปด้วยอำนาจการหยั่งลงทีป่านั้น ย่อมประชุมกันทำอุโบสถ และอนุ-
อุโบสถ มุ่งไปภูเขาคันธมาทน์บ้าง และเหาะมาจากเขาคันธมาทน์นั้นบ้าง ด้วย
คำตามที่กล่าวมาแล้วนี้แล ป่านั้นท่านจึงเรียกว่า อิสิปตนะ ด้วยการตกและการ
เหาะขึ้นแห่งฤาษีทั้งหลาย.
คำว่า อามนฺเตสิ ความว่า บำเพ็ญบารมี ตั้งแต่ทำอภินิหารที่ใกล้
พระบาทของพระทีปังกรพุทธเจ้า และเสด็จออกผนวชในพระชาติสุดท้ายโดย
ลำดับ ประทับนั่งบนอปราชิตบัลลังก์ที่ป่านั้น ทรงทำลายมารและกำลังมาร
ปฐมยามทรงระลึกถึงบุพเพนิวาสานุสติญาณได้ มัชฌิมยามทรงชำระทิพยจักษุ
ให้บริสุทธิ์ มัชฉิมยามสุดท้าย ทรงยังหมุนโลกธาตุให้กึกก้องหวั่นไหวอยู่ ทรง
บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ แล้วทรงให้ล่วงไปเจ็ดวันที่ควงไม้โพธิ์ มีการแสดง
ธรรมที่ท้าวมหาพรหมอ้อนวอนแล้ว ทรงตรวจดูโลกด้วยทิพยจักษุ แล้วเสด็จ
ไปเมืองพาราณสี ด้วยการสงเคราะห์สัตวโลก ทรงให้พระปัญจวัคคีย์ยินยอม
แล้ว ทรงประสงค์จะประกาศธรรมจักร จึงตรัสเรียกมาแล้ว.

คำว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนสุดทั้งสองอย่างนี้ ความว่า
ภิกษุทั้งหลาย ส่วนลามกสองเหล่านั้น ก็พร้อมกับการตรัสถึงบทนี้ เสียง
กึกก้องแห่งการตรัส เบื้องล่างต่อเวจี เบื้องบนจดถึงภวัคคพรหม แผ่ไปทั่ว
หมื่นโลกธาตุตั้งอยู่. สมัยนั้นเอง พรหมนับได้ 18 โกฏิ มาประชุมกันแล้ว.
ดวงอาทิตย์ตกลงทางทิศตะวันตก ดวงจันทร์เต็มดวงประกอบด้วยหมู่ดาว
นักษัตรแห่งเดือนอาฬหะลอยขึ้นไปอยู่ทางทิศตะวันออก. สมัยนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้า เมื่อทรงเริ่มธรรมจักกัปปวัตตนสูตรนี้ จึงตรัสคำเป็นต้นว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ส่วนสุดทั้งสองอย่างนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อันบรรพชิต ความว่า ผู้ตัดสังโยชน์
แห่งคฤหัสถ์แล้วเข้าถึงการบวช.
คำว่า ไม่ควรเสพ คือไม่พึงใช้สอย. คำว่า การประกอบตนให้
พัวพันด้วยกามสุขในกามทั้งหลาย
ความว่า การตามประกอบกามสุข
ในวัตถุกาม กิเลสกาม. คำว่า เป็นของเลว ได้แก่ลามก. คำว่า เป็นของ
ชาวบ้าน.
คือเป็นของมีอยู่แห่งชาวบ้านทั้งหลาย. คำว่า เป็นของปุถุชน
ได้แก่ ที่คนอันธพาลประพฤติเนือง ๆ แล้ว. คำว่า ไม่ประเสริฐ ได้แก่
ไม่บริสุทธิ์ คือไม่ใช่ของสูงสุด อีกอย่างหนึ่ง มิใช่ของพระอริยะทั้งหลาย. คำว่า
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ คือประกอบด้วยประโยชน์หามิได้ อธิบายว่า
ไม่อาศัย เหตุที่นำประโยชน์เกื้อกูลแสะความสุขมาให้.
คำว่า การประกอบความลำบากแก่ตน คือการตามประกอบความ
ลำบากให้ตน อธิบายว่า ทำทุกข์แก่ตน. คำว่า เป็นทุกข์ ได้แก่ นำทุกข์มา
ให้ด้วยการฆ่าตน มีการนอนหงายบนหนามเป็นต้น . พระองค์ทรง ทำจักษุคือ
ปัญญา
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า กระทำจักษุ. บทที่ 2 เป็นไวพจน์บทนั้นนั่นเอง
คำว่า เพื่อความสงบ คือเพื่อประโยชน์แก่การสงบกิเลส. คำว่า เพื่อความ

รู้ยิ่ง คือเพื่อประโยชน์แก่การรู้ยิ่งซึ่งสัจจะทั้ง 4. คำว่า เพื่อความจรัสรู้
ได้แก่ เพื่อประโยชน์แก่การตรัสรู้สัจจะ 4 เหล่านั้นนั่นเอง. คำว่า เพื่อ
นิพพาน
ได้แก่ เพื่อประโยชน์แก่การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน. ในบทนี้
คำใดที่เหลือเป็นของพึงกล่าวไว้ คำนั้น ท่านกล่าวไว้ในบทนั้น ๆ ในหนหลัง
แม้สัจจกถาท่านก็ให้พิสดารแล้วในปกรณ์วิเศษวิสุทธิมรรค โดยประการ
ทั้งปวงนั้นแล.
คำว่า มีวนรอบ 3 คือวน 3 รอบ ด้วยอำนาจวนรอบ 3 กล่าว
คือ สัจญาณ กิจญาณ และกตญาณ. ก็ในวนรอบ 3 นี้ ญาณตามความ
เป็นจริงในสัจจะ 4 อย่างนี้ คือ นี้ทุกขอริยสัจจะ นี้ทุกขสมุทัย ชื่อว่า
สัจญาณ ญาณที่เป็นเครื่องรู้กิจที่ควรทำอย่างนี้ว่า ควรกำหนดรู้ ควรละ
ในสัจจะเหล่านั้นเที่ยว ชื่อว่า กิจญาณ. ญาณเป็นเครื่องรู้ภาวะเเห่งกิจนั้น
ที่ทำแล้วอย่างนี้ว่า กำหนดรู้แล้ว ละได้แล้ว ดังนี้ ชื่อว่า กตญาณ. คำว่า
มีอาการ 12 ความว่ามีอาการ 12 ด้วยอำนาจอาการสัจจะละ 3 นั้น
คำว่า ญาณทัสสนะ คือ การเห็น กล่าวคือญาณที่เกิดขึ้นแล้วด้วยอำนาจ
วนรอบ 3 อย่าง อาการ 12 อย่างเหล่านี้. คำว่า ดวงตาเห็นธรรม ได้แก่
มรรค 3 และผล 3 ในที่อื่น ชื่อว่า เป็นธรรมจักษุ. ในบทนี้ ได้แก่ ปฐม
มรรคทีเดียว. คำว่า ธรรมจักร ได้แก่ ญาณ เป็นเครื่องแทงตลอด และ
ญาณเป็นเครื่องแสดง. ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนโพธิบัลลังก์
ปฏิเวธญาณ มีอาการ 12 เกิดขึ้นแล้วในสัจจะ 4 ก็ดี ประทับนั่งแม้ในป่า
อิสิปตนะ เทศนาญาณ ที่เป็นไปแล้ว เพื่อแสดงสัจจะมีอาการ 12 ก็ดี ชื่อว่า
ธรรมจักร. ก็ญาณแม้ทั้งสองนั้น ชื่อว่า ญาณที่ที่เป็นไปแล้วในพระอุระของ
พระทศพลนั่นเที่ยว ธรรมจักรนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงประกาศ
ด้วยเทศนาน ชื่อว่า ทรงให้เป็นไปแล้ว. ก็ธรรมจักรนี้นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า

ทรงให้เป็นไป ตราบจนถึงพระอัญญาโกณฑัญญเถระ กับพรหม 18 โกฏิ
ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล และเมื่อให้ธรรมจักรเป็นไปแล้ว จึงชื่อว่าให้เป็นไป
แล้ว. ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงให้ธรรมจักรเป็นไปแล้ว ท่านหมายเอา
คำนั้น จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ภุมมเทวดาทั้งหลาย ประกาศให้ได้ยินเสียง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภุมฺมา ได้แก่ เทวดาผู้ดำรงอยู่บน
พื้นดิน. คำว่า ประกาศให้ได้ยินเสียง ความว่า เทวดาทั้งหลายให้สาธุการ
พร้อมกันทีเดียว กล่าวคำเป็นต้นว่า นั่นธรรมจักรอันยอดเยี่ยม อันพระผู้มี
พระภาคเจ้า . . . ดังนี้ ประกาศให้ได้ยินแล้ว. คำว่า แสงสว่าง ได้แก่ แสง
สว่างคือ พระสัพพัญญุตญาณ. จริงอยู่ แสงสว่าง คือพระสัพพัญญุตญาณนั้น
ไพโรจน์ล่วงเทวานุภาพของพวกเทพ. คำว่า โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ
ความว่า เสียงกึกก้องอย่างโอฬารแห่งพระอุทานนี้ แผ่ไปตลอดหมื่นโลกธาตุ
แล้วตั้งอยู่.
จบอรรถกถาปฐมตถาคตสูตรที่ 1

2. ทุติยตถาคตสูตร



จักษุญาณปัญญาวิชชาแสงสว่างเกิดแก่พระตถาคต



[1674] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสง
สว่าง
ได้เกิดขึ้นแก่พระตถาคตทั้งหลาย ในธรรมที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้
ทุกขอริยสัจ ฯลฯ ทุกขอริยสัจนั้นควรกำหนดรู้ ฯลฯ ทุกขอริยสัจนั้น พระ-
ตถาคตทั้งหลายกำหนดรู้แล้ว.