เมนู

ทุติยมหานามสูตรมีอรรถตื้นทั้งนั้น.

3. โคธาสูตร



ปัญหาเกี่ยวกับการเป็นพระโสดาบัน



[1513] กบิลพัสดุ์นิทาน. ครั้งนั้น พระเจ้ามหานามศากยราช
เสด็จเข้าไปหาเจ้าศากยะพระนามว่าโคธา ครั้นแล้วได้ตรัสถามว่า
[1514] ดูก่อนโคธา พระองค์ย่อมทรงทราบบุคคลผู้ประกอบด้วย.
ธรรมกี่ประการ ว่าเป็นโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่
จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า. เจ้าศากยะพระนามว่าโคธาตรัสตอบว่า ดูก่อนมหานาม
หม่อมฉันย่อมทราบบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม 3 ประการ ว่าเป็นพระ-
โสดาบัน... ธรรม 3 ประการเป็นไฉน. อริยสาวกในธรรนวินัยนี้ เป็นผู้
ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ... ในพระธรรม...
ในพระสงฆ์... หม่อมฉันย่อมทราบบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม 3ประการนี้เเล
ว่าเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ใน
เบื้องหน้า.
[1515] ดูก่อนมหานาม ก็พระองค์เล่าย่อมทรงทราบบุคคลผู้
ประกอบด้วยธรรมกี่ประการ ว่าเป็นพระโสดาบัน.
ม. ดูก่อนโคธา หม่อมฉันย่อมทราบบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม 4
ประการ ว่าเป็นพระโสดาบัน ... ธรรม 4 ประการเป็นไฉน. อริยสาวกใน

พระธรรมวินัยนี้ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า...
ในพระธรรม... ในพระสงฆ์... ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว
ไม่ขาด ฯลฯ เป็นไปเพื่อสมาธิ ดูก่อนโคธา หม่อมฉันย่อมทราบบุคคลผู้
ประกอบด้วยธรรม 4 ประการนี้แล ว่าเป็นพระโสดาบัน...
[1516] โค. จงรอก่อน มหานาม จงรอก่อน มหานาม พระผู้มี
พระภาคเจ้าเท่านั้นจะพึงทรงทราบเรื่องนี้ ว่าบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรมเหล่านี้
หรือมิใช่ที่เป็นพระโสดาบัน.
ม. ดูก่อนโคธา เรามาไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ากันเถิด แล้วจัก
กราบทูลเนื้อความนี้แก่พระองค์.
[1517] ครั้งนั้น เจ้าศากยะพระนามว่ามหานามและเจ้าศากยะ
พระนามว่าโคธา เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ทรงถวาย
บังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
เจ้าศากยะพระนามว่ามหานามได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทาน
พระวโรกาส หม่อมฉันเข้าไปหาเจ้าศากยะพระนามว่าโคธา ได้กล่าวถามว่า
ดูก่อนโคธา พระองค์ย่อมทรงทราบบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรมกี่ประการว่าเป็น
พระโสดาบัน ...
[1518] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อหม่อมฉันกล่าวถามอย่างนี้แล้ว
เจ้าโคธาศากยะได้ตรัสตอบหม่อมฉันว่า ดูก่อนมหานาม หม่อมฉันย่อมทราบ
บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม 3 ประการว่าเป็นพระโสดาบัน... ธรรม 3 ประการ
เป็นไฉน. อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่
หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า... ในพระธรรม... ในพระสงฆ์... หม่อมฉัน

ย่อมทราบบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม 3 ประการนี้แล ว่าเป็นพระโสดาบัน ...
ก็พระองค์เล่า ย่อมทรงทราบบุคคลผู้ประกอบด้วยธรรมกี่ประการ ว่าเป็น
พระโสดาบัน.
[1519] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเจ้าโคธาศากยะตรัสถามอย่างนี้
แล้ว หม่อมฉันตอบว่า ดูก่อนโคธา หม่อมฉันย่อมทราบบุคคลผู้ประกอบ
ด้วยธรรม 4 ประการ ว่าเป็นพระโสดาบัน ... ธรรม 4 ประการเป็นไฉน
อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระ-
พุทธเจ้า ... ในพระธรรม ... ในพระสงฆ์ . . . ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้า
ใคร่แล้ว ไม่ขาด ... เป็นไปเพื่อสมาธิ หม่อมฉันย่อมทราบบุคคลผู้ประกอบ
ด้วยธรรม 4 ประการเหล่านี้แล ว่าเป็นพระโสดาบัน...
[1520] เมื่อหม่อมฉันกล่าวตอบอย่างนี้แล้ว เจ้าโคธาศากยะได้ตรัส
กะหม่อนฉันว่า จงรอก่อน มหานาม จงรอก่อน มหานาม พระผู้มีพระภาคเจ้า
เท่านั้นจะพึงทรงทราบเรื่องนี้ว่า บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรมเหล่านี้หรือมิใช่
ที่เป็นพระโสดาบัน.
[1521] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความบังเกิดแห่งเหตุเฉพาะบาง
ประการพึงบังเกิดขึ้นได้ในธรรมวินัยนี้ คือ ฝ่ายหนึ่งเป็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
(ตรัส) และฝ่ายหนึ่งเป็นภิกษุสงฆ์ (กล่าว) ฝ่ายใด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
หม่อมฉันพึงเป็นฝ่ายนั้น ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรงจำหม่อมฉันว่าเป็น
ผู้เลื่อมใสอย่างนี้.
[1522] ...ฝ่ายหนึ่งเป็นพระผู้มีพระภาคเจ้า (ตรัส) และฝ่ายหนึ่ง
เป็นภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ (กล่าว) ฝ่ายใด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส หม่อม
ฉันเป็นฝ่ายนั้น...

[1523] ... ฝ่ายหนึ่งเป็นพระผู้มีพระภาคเจ้า (ตรัส) และฝ่ายหนึ่ง
เป็นภิกษุสงฆ์ ภิกษุณีสงฆ์ และอุบาสกทั้งหลาย (กล่าว) ฝ่ายใด พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัส หม่อมฉันเป็นฝ่ายนั้น ...
[1524] ... ฝ่ายหนึ่งเป็นพระผู้มีพระภาคเจ้า (ตรัส) และฝ่ายหนึ่ง
เป็นภิกษุสงฆ์ ภิกษุณีสงฆ์ อุบาสกทั้งหลาย และอุบาสิกาทั้งหลาย (กล่าว)
ฝ่ายใด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส หม่อมฉันเป็นฝ่ายนั้น ...
[1525] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความบังเกิดแห่งเหตุเฉพาะบาง
ประการ พึงบังเกิดขึ้นได้ในธรรมวินัยนี้ คือ ฝ่ายหนึ่งเป็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
(ตรัส) และฝ่ายหนึ่งเป็นภิกษุสงฆ์ ภิกษุณีสงฆ์ อุบาสกทั้งหลาย และอุบาสิกา
ทั้งหลาย โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์พร้อมทั้ง
สมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ (กล่าว) ฝ่ายใด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
หม่อมฉันพึงเป็นฝ่ายนั้น ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรงจำหม่อมฉันว่าเป็น
ผู้เลื่อมใสอย่างนี้.
[1526] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร
ผู้มีวาทะอย่างนี้ ย่อมตรัสอะไรกะพระเจ้ามหานามศากยราช เจ้าโคธาศากยะ
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันผู้มีวาทะอย่างนี้ มิได้พูดอะไร
กะพระเจ้ามหานามศากยราช นอกจากกัลยาณธรรม นอกจากกุศล.
จบโคธาสูตรที่ 3

อรรถกถาโคธาสูตร



พึงทราบอธิบายในโคธาสูตรที่ 3.
เจ้าศากยะนั้น ตรัสคำนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น จะพึง
ทรงทราบเรื่องนี้ว่า บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรมเหล่านี้ หรือมิใช่

ด้วยประสงค์ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น ทรงทราบความที่บุคคลประกอบ
ด้วยธรรม 3 ประการ เป็นพระโสดาบัน หรือความที่บุคคลประกอบด้วยธรรม
4 ประการ เป็นพระโสดาบัน. บทว่า ความบังเกิดแห่งเหตุเฉพาะบาง
ประการพึงบังเกิดขึ้น
ความว่า พึงเกิดเหตุไรนั่นแหละ บทว่า ฝ่ายหนึ่ง
เป็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ฝ่ายหนึ่งเป็นภิกษุสงฆ์
ความว่า เมื่อเหตุใด
เกิดขึ้นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมีลัทธิต่างจากภิกษุสงฆ์ ตรัสวาทะ
อย่างหนึ่ง แม้ฝ่ายหนึ่งเป็นภิกษุสงฆ์ กล่าววาทะอย่างหนึ่ง ฝ่ายหนึ่ง. บทว่า
เตเนวาหํ ความว่า ท่านนั่นแหละให้วาทะใด ข้าพเจ้าจะพึงถือเอาวาทะ
นั้นนั่นแหละ. ก็ความแปรเป็นอย่างอื่นโดยความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ย่อม
ไม่มีแก่พระอริยสาวกมิใช่หรือ เพราะเหตุไร เจ้าศากยะนั้นจึงตรัสอย่างนี้.
เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นพระสัพพัญญู. ก็เจ้าศากยะนั้น ย่อมมีความ
คิดอย่างนี้ว่า ภิกษุสงฆ์ แม้ไม่รู้พึงกล่าว เพราะตนมิใช่สัพพัญญู ส่วน
พระศาสดาขึ้นชื่อว่าไม่ทรงทราบไม่มี เพราะเหตุนั้น จึงกล่าวไว้อย่างนี้แล.
บทว่า นอกจากกัลยาณธรรม นอกจากกุศล ความว่า เราย่อมกล่าว
กัลยาณธรรมและกุศลนั้นแล. อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ พ้นแล้วจากกัลยาณ-
ธรรมและกุศลหามิได้
เพราะเหตุนั้น เจ้ามหานามจึงมีธรรมที่หาโทษมิได้.
จบอรรถกถาโคธาสูตรที่ 3