[1484] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อุทยคามินีปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อ
ความหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อนิพพาน เป็นไฉน อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
ประกอบด้วยความเลื่อมใสอัน ไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า... ในพระธรรม ...
ในพระสงฆ์. .. ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว ไม่ขาด ฯลฯ เป็นไป
เพื่อสมาธิ นี้แล คือ อุทยคามินีปฏิปทาที่เป็นไปเพื่อความหน่ายโดยส่วนเดียว
เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความเข้าไปสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง
เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน.
จบพราหมณสูตรที่ 2
อรรถกถาพราหมณสูตร
พึงทราบอธิบายใน พราหมณสูตรที่ 2.
คำว่า ปฏิปทา ชื่อว่า อุทยคามินี ความว่า ปฏิปทาเครื่องให้ถึง
ความเจริญในลัทธิของตน.
บทว่า พึงรอความตาย ได้แก่ พึงปรารถนาความตาย.
จบอรรถกถาพราหมณสูตรที่ 2
3. อานันทสูตร
ละธรรม 4 ประกอบธรรม 4 เป็นพระโสดาบัน
[1485] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรและท่านพระอานนท์อยู่ ณ
พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ครั้งนั้น
เวลาเย็น ท่านพระสารีบุตรออกจากที่เร้นแล้ว เข้าไปหาท่านพระอานนท์ถึง
ที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระอานนท์ ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกัน
ไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระอานนท์ว่า
ดูก่อนอานนท์ เพราะละธรรมเท่าไร เพราะเหตุประกอบธรรมเท่าไร หมู่สัตว์นี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงพยากรณ์ว่า เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำ
เป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า.
[1486] ท่านพระอานนท์กล่าวตอบว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เพราะ
ละธรรม 4 ประการ เพราะเหตุประกอบธรรม 4 ประการ หมู่สัตว์นี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงพยากรณ์ว่า เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำ
เป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า ธรรม 4 ประการเป็นไฉน
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า
เห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าเห็นปานนั้น ย่อมไม่มีแก่ปุถุชนนั้น
ส่วนอริยสาวกผู้ได้สดับ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระ-
พุทธเจ้าเห็นปานใด เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ความ
เลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าเห็นปานนั้น ย่อมมีแก่อริยสาวกนั้นว่า
แม้เพราะเหตุนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ฯลฯ เป็นผู้จำแนกธรรม.