เมนู

ราชการามวรรควรรณนา



อรรถกถาสหัสสสูตร



พึงทราบอธิบายในสหัสสสูตรที่ 1 แห่งราชการามวรรคที่ 2.
คำว่า ราชการาม ได้แก่ อารามที่ได้ชื่ออย่างนี้ เพราะพระราชา
ทรงให้สร้าง. ถามว่า พระราชาองค์ไหน. ตอบว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล.
ทราบมาว่า ในปฐมโพธิกาล พวกเดียรถีย์เห็นพระศาสดา ที่ทรง
ถึงความเลิศด้วยยศและลาภ พากันคิดแล้วว่า พระสมณโคดมถึงความเลิศ
ด้วยลาภและยศ ก็ศีลหรือสมาธิอย่างอื่นไร ๆ ของพระสมณโคดมนั้นไม่มี
พระสมณโคดมนั้นถึงความเลิศด้วยลาภและยศอย่างนี้ เป็นเหมือนถือเอาพื้น
แผ่นดินที่สมบูรณ์เป็นเลิศ ถ้าแม้พวกเราอาจให้สร้างวัดใกล้พระเชตวันได้
ก็จะพึงเป็นผู้ถึงความเลิศด้วยลาภและยศ. เดียรถีย์เหล่านั้น จึงชักชวนอุปัฏฐาก
ของตนได้ประมาณแสนคน ได้กหาปณะ แล้วได้พาอุปัฏฐากเหล่านั้นไปราช
สำนัก. พระราชาตรัสถามว่า นี่อะไรกัน. ทูลว่า พวกข้าพระองค์จะสร้างวัด
ของเดียรถีย์ใกล้เชตวัน ถ้าว่าพระสมณโคดม หรือพวกสาวกของพระสมณโคดม
จักมาห้ามไซร้ ขอพระองค์อย่าให้เพื่อจะห้ามเลย แล้วได้ถวายสินบน.
พระราชารับสินบนแล้วตรัสว่า พวกท่านจงไปสร้างเถิด พวกเดียรถีย์นั้น
จึงให้พวกอุปัฏฐากของตนขนทัพพสัมภาระมา เเล้วทำการยกเสาเป็นต้น
เปล่งเสียงอึกทึกลือลั่น ทำโกลาหลเป็นอย่างเดียวกัน. พระศาสดาเสด็จออกจาก
พระคันธกุฎีประทับที่หน้ามุข ตรัสถามแล้วว่า อานนท์ ก็คนพวกนั้น
เหล่าไหน เห็นจะเป็นพวกชาวประมง เปล่งเสียงอึกทึกลือลั่น แย่งปลากันอยู่.
อา. พวกเดียรถีย์ สร้างวัดของเดียรถีย์ใกล้พระเชตวัน พระเจ้าข้า.
ศ. อานนท์ พวกนี้เป็นศัตรูต่อศาสนา จะทำให้อยู่ไม่เป็นสุขแก่หมู่
ภิกษุ เธอจงทูลพระราชา และให้รื้อออกไป.

พระเถระพร้อมด้วยหมู่ภิกษุ ได้ไปยืนที่พระทวารหลวง. ราชบุรุษ
ทั้งหลายกราบทูลแก่พระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ พวกพระเถระมาเฝ้า.
พระราชามิได้เสด็จออกไป เพราะได้รับสินบนไว้แล้ว พระเถระทั้งหลายจึง
ไปกราบทูลพระศาสดา. พระศาสดาทรงส่งพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ
ไป. พระราชาไม่ได้พระราชทาน แม้การเฝ้าแก่พระเถระทั้งสองนั้น พระเถระ
เหล่านั้น จึงมากราบทูลพระศาสดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระราชาไม่ได้
เสด็จออกเลย.
พระศาสดาทรงพยากรณ์ในขณะนั้นทีเทียวว่า พระราชาดำรงอยู่ใน
ราชสมบัติของตนจักไม่ได้เพื่อจะทำกาละ. วันที่สอง พระองค์นั่นเทียว มีหมู่
ภิกษุเป็นบริวาร ได้เสด็จไปประทับยืนที่ประตูหลวง พระราชาทรงสดับว่า
พระศาสดาเสด็จมาแล้ว จึงเสด็จออกไปกราบทูลให้เสด็จเข้านิเวศน์ ให้ประทับ
นั่งบนสารบัลลังก์ ได้ทรงถวายข้าวต้มและของเคี้ยว พระศาสดาเสวยข้าวต้ม
และของเคี้ยวแล้ว ไม่ตรัสว่า มหาบพิตร พระองค์ทำเหตุนี้แล้ว กะพระราชา
ผู้เสด็จมาประทับนั่ง ด้วยพระราชดำริว่า เราจักนั่งในสำนักของพระศาสดา
จนกว่าพระกระยาหารจะเสร็จ จึงทรงดำริว่า เราจะให้พระราชานั้นยินยอม
ด้วยเหตุทีเดียว จึงทรงนำเหตุในอดีตนี้มาว่า มหาบพิตร ขึ้นชื่อว่า การให้
พวกบรรพชิตรบกันและกันไม่สมควร พระราชาทรงให้พวกฤาษีเหล่านั้น
รบกันและกันแล้ว ได้จมมหาสมุทรไปพร้อมกับแว่นแคว้น. พระราชาตรัส
ถามว่า เมื่อไร ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
มหาบพิตร ในอดีต พระราชาพระนามว่า ภุรุ ในแว่นแคว้นภุรุ
ครองราชสมบัติอยู่. คณะฤาษี 2 คณะ ๆ ละ 500 ไปจากเชิงภูเขาสู่ภุรุนคร
เพื่อจะเสพรสเค็มและเปรี้ยว ที่ไม่ไกลพระนครมีต้นไม้อยู่สองต้น. คณะฤาษี
ที่มาก่อนนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง. แม้คณะฤาษีที่มาภายหลังก็ได้นั่งที่โคน

ต้นไม้อีกต้นหนึ่ง. พวกฤาษีได้อยู่ตามความพอใจแล้วไปที่เชิงเขาเทียว. พวก
ฤาษีนั้นแม้มาอีกก็ได้นั่งในที่หนึ่งแห่งโคนต้นไม้ของตน. พวกฤาษีนั้นที่มา
ภายหลังก็ได้นั่งที่โคนต้นไม้ของตนเหมือนกัน. เมื่อเวลาผ่านไปนาน ต้นไม้
ต้นหนึ่งแห้ง ( ตาย). พวกดาบสมาที่ต้นไม้แห้งนั้น คิดว่า ต้นไม้ต้นนี้ ( ต้นที่
ไม่แห้ง) ใหญ่ จักเพียงพอ แม้แก่พวกเรา แม้แก่ดาบสเหล่านั้น จึงนั่งในที่
แห่งหนึ่งของต้นไม้ของพวกดาบสนอกนี้. ดาบสเหล่านั้นมาแล้วภายหลังไม่เข้า
ไปที่โคนไม้นั้น ยืนอยู่ภายนอกเทียว กล่าวแล้วว่า ท่านทั้งหลายนั่งอยู่ในที่นี้
เพราะเหตุไร. ดาบสเหล่านั้นกล่าวว่า ท่านอาจารย์ ต้นไม้ของพวกกระผม
แห้งตาย ต้นไม้นี้ต้นใหญ่ แม้พวกท่านก็จงเข้าไปเถิด จักพอแม้แก่พวกท่าน.
พวกดาบสกล่าวว่า พวกเราจะไม่เข้าไป พวกท่านจงออกไป แล้ว
ขยายถ้อยคำกล่าวว่า พวกท่านจักไม่เต็มใจออกไปหรือ จึงจับที่มือเป็นต้น
ดึงออกไป.
ดาบสเหล่านั้นจึงคิดว่า ช่างเถิด เราจักให้พวกฤาษีนั้นสำเหนียก แล้ว
นิรมิตล้อ 2 ล้อสำเร็จด้วยทอง และเพลาสำเร็จด้วยเงินด้วยฤทธิ์ได้ให้หมุนไป
พระทวารหลวง. พวกราชบุรุษ กราบทูลคำเห็นปานนี้ให้พระราชาทรงทราบ
ว่า พระเจ้าข้า พวกดาบสถือเครื่องบรรณาการยืนอยู่แล้ว. พระราชาทรงยินดี
แล้วตรัสว่า พวกท่านจงเรียกมา ให้เรียกมาแล้วตรัสว่า พวกท่านทำกรรม
ใหญ่แล้ว เรื่องไร ๆ ที่ข้าพเจ้าจะพึงทำแก่พวกท่านมีอยู่หรือ.
ดา. ขอถวายพระพร หาบพิตร มีโคนต้นไม้ต้นหนึ่ง ซึ่งเป็นที่นั่ง
ของพวกข้าพระองค์ โคนไม้นั้น ถูกพวกฤาษีอื่นยึดแล้ว ขอพระองค์จงให้
พวกฤาษีนั้นให้โคนไม้นั้นแก่พวกข้าพระองค์.

พระราชาจึงส่งพวกบุรุษไปให้คร่าพวกดาบสออกไป พวกฤาษีที่ยืน
ภายนอก แลดูอยู่ว่า พวกดาบสนี้ให้อะไรหนอแลจึงได้แล้ว เห็นว่า ชื่อนี้
จึงคิดว่า ถึงแม้พวกเราให้สินบนแล้วก็จะถือเอาอีก จึงนิรมิตหน้าต่างรถแล้ว
ด้วยทอง ด้วยฤทธิ์ ถือไปแล้ว. พระราชาทรงเห็นแล้วยินดี ตรัสว่า เจ้าข้า
ข้าพเจ้าพึงทำอย่างไร.
พวกดาบส ทูลว่า มหาบพิตร คณะฤาษีอื่นนั่งที่โคนไม้ของพวก
ข้าพระองค์ ขอพระองค์จงประทานโคนไม้นั้นเถิด.
พระราชาทรงส่งพวกบุรุษไปให้คร่าดาบสเหล่านั้นออกไป. พวกดาบส
ทำการทะเลาะกันและกันแล้ว เป็นผู้เดือดร้อนว่า พวกเราทำกรรมไม่สมควร
แล้ว จึงได้ไปเชิงเขาแล้วแล. ลำดับนั้น เทวดาโกรธแล้วว่า พระราชานี้
รับสินบนจากมือของคณะดาบสแม้ทั้งสอง ให้ทำการทะเลาะกันและกัน จึงทด
มหาสมุทรทำที่แห่งหนทางประมาณพันโยชน์แห่งแว่นแคว้นของพระราชานั้น
ให้เป็นสมุทรทีเดียว.
ข้าพเจ้าได้ฟังมาว่า ภุรุราชา ทำให้
ดาบสทั้งหลายมีระหว่างใน (แตกกัน )
พระราชานั้น พร้อมกับแว่นแคว้นจึงถูก
ทำลายแล้วถึงความเสื่อมแล้ว.

ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอดีตนี้อย่างนี้แล้ว เพราะขึ้นชื่อว่า
ถ้อยคำของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย บุคคลควรเชื่อเหตุนั้น พระราชาทรงกำหนด
ใคร่ครวญกิริยาของพระองค์แล้ว ทรงดำริว่า กรรมที่ไม่ควรทำเราได้ทำแล้ว
จึงตรัสว่า พนาย พวกท่านจงไปคร่าเอาพวกเดียรถีย์ออกไป ครั้นให้คร่า
ออกไปแล้วทรงดำริว่า วิหารที่เราให้สร้างยังไม่มี เราจักให้สร้างวิหารในที่นั้น

นั่นแหละ แล้วไม่พระราชทานทัพสัมภาระแก่เดียรถีย์เหล่านั้น ทรงให้สร้าง
วิหารแล้ว. คำนั้น (ราชการาม) พระสังคีติกาจารย์กล่าวแล้วหมายเอาวิหารนั้น.
จบอรรถกถาสหัสสสูตรที่ 1.

2. พราหมณสูตร



ว่าด้วยอุทยคามินีปฏิปทา



[1482] สาวัตถีนิทาน. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย พราหมณ์ทั้งหลายย่อมบัญญัติปฏิปทา ชื่ออุทยคามินี พวกเขาย่อม
ชักชวนสาวกอย่างนี้ว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ มาเถิดท่าน ท่านจงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่
แล้วเดินบ่ายหน้าไปทางทิศปราจีน ท่านอย่าเว้น บ่อ เหว ตอ ที่มีหนาม
หลุมเต็มด้วยคูถ บ่อโสโครกใกล้บ้าน ท่านพึงตกไปในที่ใด พึงรอความตาย
ในที่นั้น ด้วยวิธีอย่างนี้ เมื่อแตกกายตายไป ท่านจักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์.
[1483] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อบัญญัติของพราหมณ์ทั้งหลายนั้น
เป็นความดำเนินของคนพาล เป็นความดำเนินของคนหลง ย่อมไม่เป็นไป
เพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความเข้าไปสงบ
เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน ส่วนในอริยวินัย เราก็บัญญัติ
ปฏิปทาชื่ออุทยคามินีที่เป็นไปเพื่อความหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อความคลาย-
กำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความเข้าไปสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้
เพื่อนิพพาน.