เมนู

โสตาปัตติสังยุตวรรณนา



อรรถกถาราชสูตร



พึงทราบอธิบายในราชสูตรที่ 1.
คำว่า กิญฺจาปิ เป็นนิบาตลงในอรรถว่าอนุเคราะห์และติเตียน.
จริงอยู่ พระศาสดาเมื่อจะทรงอนุเคราะห์ (เมื่อถือเอา) ราชสมบัติ คือความเป็น
อิสฺราธิบดีแห่งมหาทวีปทั้ง 4 และเมื่อจะทรงติเตียนความเป็น คือการละบาย
ทั้ง 4 ยังไม่ได้ จึงตรัสคำเป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระเจ้าจักรพรรดิ...
แม้ก็จริง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า แห่งทวีปทั้ง 4 ได้แก่ ทวีปใหญ่ 4
มีทวีปพันหนึ่งเป็นบริวาร.
บทว่า อิสฺสริยาธิปจฺจํ ความว่า ความเป็นอิสระ ความเป็นอธิบดี
ชื่อว่า ความเป็นใหญ่ ความเป็นอิสระ ความเป็นใหญ่ ชื่อว่า ความเป็น
อิสราธิบดี เพราะอรรถว่า ไม่มีความแตกต่างกันในราชสมบัติ. บทว่า
กาเรตฺวา ได้แก่ ให้ราชสมบัติเห็นปานนี้เป็นไป. พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้
ตรัสคำเป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวก ... แม้ก็จริง.
ผ้ามีชายหามิได้ ชื่อว่า นนฺตกานิ (ผ้าที่เศร้าหมอง) ในบทนั้น. ก็ผ้า
สาฎกแม้ 13 ศอก ตั้งแต่ตัดชายผ้าออก ถึงการนับว่า ผ้าไม่มีชายเหมือนกัน. บทว่า
ด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหว ได้แก่ ความเลื่อมใสอันไม่คลอนแคลน.
บทว่า ก็ความเลื่อมใสนี้นั้น ความว่า ความเลื่อมใสอย่างหนึ่งมี
หลายอย่างเทียว ก็ความเลื่อมใสที่มาถึงแล้วโดยมรรคนั้น ย่อมเกิดขึ้นไม่ก่อน
ไม่หลังในวัตถุเหล่าใด ด้วยอำนาจวัตถุเหล่านั้น ความเลื่อมใสนั้น ท่านจึง
กล่าวไว้ 3 อย่าง โดยนัยเป็นต้นว่า ด้วยความเลื่อมในอันไม่หวั่นไหวในพระ-
* ไม่มีการช่วงชิงหรือโค่นล้มราชสมบัติหนึ่ง.

พุทธเจ้า. เพราะความเลื่อมใสอย่างเดียว เหตุนั้น ความเลื่อมใสนั้น ย่อมเป็น
เหตุให้น้อมไปต่างๆกัน. จริงอยู่ อริยสาวก ย่อมมีความเลื่อมใส ความรักและ
ความเคารพในพระพุทธเจ้าเท่านั้นมาก ในพระธรรมหรือในพระสงฆ์ไม่มาก
หรือย่อมมีความเลื่อมใสในพระธรรมเท่านั้นมาก ในพระพุทธเจ้า หรือใน
พระสงฆ์ไม่มาก หรือย่อมมีความเลื่อมใสในพระสงฆ์เท่านั้นมาก ในพระพุทธเจ้า
หรือพระธรรมไม่มาก เพราะเหตุนั้น อริยสาวกมีความเลื่อมใส ความรักและ
ความเคารพ (ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) เพียงอย่างเดียวก็หาไม่.
คำเป็นต้นว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ดังนี้ ท่านให้พิสดารแล้ว ในปกรณ์วิเสส ชื่อว่า วิสุทธิมรรคนั่นแล. บทว่า
ที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว ความว่า ที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย ใคร่เเล้ว คือ เป็นที่
ชอบใจเทียว เพราะว่า พระอริยบุคคลทั้งหลาย ไปแล้วระหว่างภพก็ไม่ทำให้
ศีลห้ากำเริบ ท่านกล่าวแล้วอย่างนี้ หมายเอาศีลห้าเหล่านั้น แม้ของพระอริย-
บุคคลเหล่านั้น. คำว่า ไม่ขาด เป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เช่น
เดียวกันเทียว. ส่วนหนึ่งขาดที่ริม ท่านเรียกว่า ขาดตามลำดับ. บทว่า
ขาดทะลุในท่ามกลาง ความว่า ส่วนเหล่านั้นมีชนิดต่างกันในที่หนึ่ง.
บทว่า ด่าง ได้แก่ มีลวดลายต่าง ๆ. บทว่า พร้อย ความว่า
ศีลที่แตกในข้อต้น หรือที่สุดไปตามลำดับอย่างนี้ ชื่อว่า ขาด ที่แตกใน
ท่ามกลาง ชื่อว่า ทะลุ ชื่อว่า ด่าง เพราะขาดไปตามลำดับ 2-3 สิกขาบท
ในที่ใดที่หนึ่ง ที่ทำลายระหว่างสิกขาบทหนึ่ง ชื่อว่า พร้อย พึงทราบความ
ที่ศีลไม่ขาดเป็นต้น เพราะไม่มีโทษเหล่านั้น. บทว่า เป็นไทย ได้แก่โดย
กระทำความเป็นไท. บทว่า วิญญูชนสรรเสริญ ความว่า อันวิญญูชนทั้ง
หลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นสรรเสริญแล้ว.

บทว่า อันตัณหาและทิฏฐิไม่ลูบคลำแล้ว ความว่า อันตัณหา
และทิฏฐิไม่อาจลูบคลำอย่างนี้ว่า ความตรึกชื่ออันท่านทำแล้ว ความตรึกนี้ท่าน
ทำแล้ว. บทว่า เป็นไปเพื่อสมาธิ ความว่า สามารถเพื่อให้อัปปนาสมาธิ
หรืออุปจารสมาธิเป็นไป.
จบอรรถกถาราชสูตรที่ 1

2. โอคธสูตร



องค์คุณของพระโสดาบัน



[1414] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ประกอบด้วยธรรม 4
ประการ ย่อมเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะ
ตรัสรู้ในเบื้องหน้า ธรรม 4 ประการเป็นไฉน อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ฯลฯ ในพระธรรม
ฯลฯ ในพระสงฆ์ ฯลฯ ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว ฯลฯ อริยสาวกผู้
ประกอบด้วยธรรม 4 ประการเหล่านี้แล เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำ
เป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้
สุคตศาสดา ได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อ
ไปอีกว่า
[1415] ศรัทธา ศีล ความเลื่อมใสและการ
เห็นธรรมมีอยู่แก่ผู้ใด ผู้นั้นแล ย่อมบรรลุ
ความสุข อันหยั่งลงในพรหมจรรย์ตาม
กาล.

จบโอคธสูตรที่ 2