เมนู

อรรถกถากิมิลสูตร



กิมิลสูตรที่ 10.

คำว่า ใกล้เมืองกิมิลา* คือในนครมีชื่ออย่างนั้น .
คำว่า เอตทโวจ ความว่า ได้ยินว่า พระเถระคิดว่า เทศนานี้มิได้ทำอย่างมี
อนุสนธิ เราจะให้ถึงอย่างมีอนุสนธิ (ยถานุสนธิ) เมื่อจะสืบต่ออนุสนธิแห่ง
เทศนา จึงได้กล่าวคำนี้. คำว่า กายอันหนึ่งในบรรดากายทั้งหลาย คือ
เรากล่าวกายอย่างใดอย่างหนึ่งในกายทั้งหลายมีกายคือ ดินเป็นต้น หมายความว่า
เรากล่าวถึงกายคือ ลม. อีกอย่างหนึ่ง ส่วนแห่งรูป 25 ชนิด คือ อายตนะ
คือ ตา ฯลฯ อาหารที่ทำเป็นคำ ๆ ชื่อว่ารูปกาย. ในส่วนแห่งรูปเหล่านั้น
ลมหายใจออกและหายใจเข้าย่อมเป็นกายอย่างหนึ่ง เพราะรวมเข้าในอายตนะ
คือ สิ่งที่จะพึงถูกต้อง. แม้เพราะเหตุนั้น พระเถระจึงได้กล่าวอย่างนั้น. คำว่า
ตสฺมา ติห ความว่า เพราะย่อมพิจารณาเห็นกายคือ ลม ซึ่งเป็นกายอย่าง
หนึ่งในกายทั้ง 4 หรือย่อมพิจารณาเห็นลมหายใจออกและหายใจเข้า ซึ่งเป็น
กายอย่างหนึ่งในรูปกาย ในส่วนแห่งรูป 25 ฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นผู้พิจารณา
เห็นกายในกาย. พึงทราบใจความในทุกบทอย่างนี้. คำว่า เวทนาอันหนึ่งใน
บรรดาเวทนาทั้งหลาย
คือ เวทนาอย่างหนึ่งในเวทนาทั้ง 3 อย่าง คำนี้
ท่านกล่าวหมายเอาสุขเวทนา.
คำว่า การทำไว้ในใจให้ดี คือ ความเอาใจใส่อย่างดี ที่เกิดขึ้นแล้ว
ด้วยอำนาจการเสวยปีติเป็นต้น. ถามว่า ก็ความเอาใจใส่เป็นสุขเวทนา หรือ.
ตอบว่า ไม่เป็น นี้เป็นหัวข้อเทศนา เหมือนอย่างว่า สัญญาท่านเรียกโดย
ชื่อว่าสัญญา ในคำนี้ว่า เป็นผู้ประกอบตามการอบรมอนิจจสัญญา (ความ
สำคัญว่าไม่เที่ยง) ฉันใด แม้ในที่นี้ก็ฉันนั้น พึงทราบว่า ท่านเรียก
* สี. ในเมืองกิมพิลา

เวทนาในฌาน โดยชื่อว่าความเอาใจใส่ (มนสิการ). จริงอยู่ ในหมวด 4 นี้
ท่านเรียกเวทนาโดยหัวข้อแห่งปีติในบทแรก. ในบทที่ 2 เรียกโดยสรุปว่า
สุข เท่านั้น ในจิตตสังขาร 2 บท เพราะพระบาลีว่า ธรรมเหล่านี้ คือ สัญญา
และเวทนานี้เป็นเจตสิก เกี่ยวกับจิต เป็นเครื่องปรุงจิต ท่านจงกล่าวเวทนา
โดยชื่อว่าจิตตสังขาร (เครื่องปรุงจิต) เพราะพระบาลีว่า ยกเว้น ความตรึก
และความตรองแล้ว ธรรมที่ประกอบกับจิตแม้ทั้งหมด รวมลงในจิตตสังขาร.
พระเถระรวมธรรมทั้งหมดนั้น โดยชื่อว่า มนสิการ (คือ ความเอาใจใส่) แล้ว
กล่าวว่า การกระทำไว้ในใจให้ดี ในที่นี้.
ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เลยมีผู้ค้านว่า เพราะเหตุที่เวทนานี้เป็นอารมณ์
ไม่ได้ ฉะนั้น การพิจารณาเห็นเวทนาก็ไม่ถูกนะซิ เพราะแม้ในมหาสติ
ปัฏฐานสูตรเป็นต้น บุคคลทำวัตถุมีสุขเป็นต้นนั้น ๆ ให้เป็นอารมณ์แล้วย่อม
เสวยเวทนา แต่วัตถุมีสุขเป็นต้นนั้น เพราะอาศัยความเป็นไปแห่งเวทนาจึง
เป็นเพียงโวหารว่า เราเสวยอยู่ ท่านหมายเอาวัตถุมีสุขเป็นต้นนั้น จึงกล่าวว่า
เมื่อเสวยสุขเวทนา (ก็รู้ชัดว่า) เราเสวยสุขเวทนาอยู่ ดังนี้เป็นต้น. อีกอย่างหนึ่ง
ท่านยังได้กล่าวคำตอบของปัญหานี้ไว้ในการพรรณนาเนื้อความของ คำว่า
ปีติปฏิสํเวที เป็นต้น ไว้เหมือนกัน. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ในวิสุทธิ
มรรค ว่า
ปีติย่อมเป็นอันรู้แจ้งแล้วโดยอาการ 2 อย่าง คือโดยอารมณ์ 1
โดยความไม่หลงใหล 1. ปีติย่อมเป็นอันรู้แจ้งแล้ว โดยอารมณ์เป็นอย่างไร
ภิกษุ ย่อมเข้าฌานที่มีปีติ 2 ฌาน ในขณะเข้าฌานนั้น ปีติย่อมเป็นอันผู้ได้
ฌานรู้แจ้งแล้วโดยอารมณ์ เพราะความที่อารมณ์อันตนรู้แจ้งแล้ว. ปีติย่อมเป็น
อันรู้แจ้งแล้ว โดยความไม่หลงใหลอย่างไร ภิกษุเข้าฌานที่มีปีติ 2 ฌานออก
แล้ว ย่อมพิจารณาปีติที่ประกอบกับฌานโดยความเป็นของสิ้นไป โดยความ

เป็นของเสื่อมไป ในขณะการเห็นแจ่มแจ้งของภิกษุนั้น ปีติย่อมเป็นอันรู้แจ้ง
แล้ว เพราะความไม่หลงใหลด้วยการแทงตลอดลักษณะ. ดังที่พระสารีบุตร
ได้กล่าวไว้ในปฏิสัมภิทามรรคว่า เมื่อภิกษุรู้ชัดความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง
คือ ความไม่ซัดส่ายของจิตด้วยอำนาจการหายใจออกยาว สติย่อมเป็นอันเข้าไป
ตั้งไว้แล้ว ปีตินั้นย่อมเป็นอันรู้แจ้งแล้ว ด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น บัณฑิต
พึงทราบใจความ แม้บทที่เหลือ โดยทำนองนี้แหละ.
เครื่องปรุงจิตคือปีติและสุข โดยอารมณ์ ย่อมเป็นอันผู้ได้บรรลุฌาน
ได้รู้แจ้งแล้ว ดังที่ว่ามานี้ ฉันใดนั่นแหละ เวทนาโดยอารมณ์ก็ย่อมเป็นอันได้
รู้แจ้งแล้ว ด้วยการได้เฉพาะซึ่งมนสิการกล่าวคือเวทนาที่ประกอบด้วยฌาน
แม้นี้ ฉันนั้น. เพราะเหตุนั้น คำว่า ภิกษุ เป็นผู้ตามพิจารณาเห็นเวทนา
ในเวทนาทั้งหลาย อยู่ในสมัยนั้น จึงเป็นคำที่กล่าวไว้ดีแล้วทีเดียว.
ในคำว่า นาหํ อานนฺท มุฏฺฐสฺสติสฺส อสมฺปชานสฺส นี้
มีอธิบายดังต่อไปนี้ เพราะเหตุที่ ภิกษุผู้เป็นไปแล้วโดยนัยเป็นต้นว่า เรา
จักกำหนดรู้จิต หายใจออก ย่อมเอาลมหายใจออกและหายใจเข้ามาเป็น
อารมณ์ แม้โดยแท้ ถึงอย่างนั้น เมื่อเข้าไปตั้งสติ และสัมปชัญญะในอารมณ์
ของจิตนั้นแล้ว ย่อมชื่อว่า ภิกษุนี้เป็นผู้พิจารณาเห็นจิตในจิต เพราะความ
เป็นไปโดยแท้. อานาปานสติภาวนา (การเจริญสติในการหายใจออกและ
หายใจเข้า) ของผู้ลืมสติ ผู้ไม่มีความรู้สึกตัว ย่อมมีไม่ได้เลย ฉะนั้น
โดยอารมณ์แล้ว ในสมัยนั้น ภิกษุเป็นผู้พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ด้วย
สามารถรู้แจ้งจิต ดังนี้.
อภิชฌา ทรงแสดงไว้ในคำว่า เธอเห็นการละอภิชฌาและ
โทมนัสนั้นด้วยปัญญา จึงวางเฉยเสียได้ด้วยปัญญาเป็นอย่างดี
นี้

ได้แก่กามฉันทนีวรณ์นั่นเอง. ทรงแสดงพยาบาทนีวรณ์ด้วยอำนาจแห่งโทมนัส
ก็แล หมวดสี่นี้ ตรัสด้วยอำนาจวิปัสสนาเท่านั้น ส่วนธัมมานุปัสสนามี 6 อย่าง*
ด้วยอำนาจนีวณบรรพเป็นต้น นีวรณบรรพ เป็นข้อต้นของธัมมานุปัสสนานั้น
แม้ของนีวรณบรรพนั้น มี หมวดสองแห่งนีวรณ์นี้ขึ้นต้น. เพื่อจะทรงชี้ถึงคำขึ้น
ต้นแห่งธัมมานุปัสสนา ดังที่ว่ามานี้ จึงตรัสว่า อภิชฌาและโทมนัส
ดังนี้. คำว่า การละ หมายเอา ความรู้สำหรับละอย่างนี้ว่า ภิกษุย่อมละ
ความสำคัญว่าเที่ยง ด้วยการตามพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง. คำว่า ตํ ปญฺญาย
ทิสฺวา
คือ ญาณเครื่องละอันได้แก่อนิจจญาณ วิราคญาณ นิโรธญานและ
ปฏินิสสัคคญาณนั้น ย่อมมีด้วยวิปัสสนาปัญญา อีกอย่างหนึ่ง ทรงแสดงถึงความ
สืบต่อถัด ๆ กันแห่งวิปัสสนา แม้นั้นอย่างนี้ว่า อย่างอื่นอีก. คำว่า จึง
วางเฉยเสียได้
คือ ชื่อว่า ย่อมวางเฉยอย่างยิ่งโดยสองทางคือ ย่อมวางเฉย
อย่างยิ่งกะผู้ดำเนินไปในความสงบ 1 ย่อมวางเฉยอย่างยิ่งกะการบำรุง
พร้อมกัน 1. ในกรณีนั้น ความวางเฉยอย่างยิ่ง ย่อมมีแม้ต่อธรรม
ที่เกิดร่วมกันบ้าง ความวางเฉยอย่างยิ่ง ย่อมมีต่ออารมณ์บ้าง ในที่นี้ประสงค์
เอาความวางเฉยอย่างยิ่งต่ออารมณ์. คำว่า เพราะฉะนั้นแหละอานนท์ คือ
เพราะเหตุที่อานาปานสติสมาธิเป็นไปแล้วโดยทำนองเป็นต้นว่า เราจักตาม
พิจารณาเห็นความไม่เที่ยงหายใจออก ไม่ใช่เป็นไปแต่ในธรรมมีนิวรณ์
เป็นต้นเท่านั้น แต่ภิกษุได้เห็นญาณเครื่องละธรรมที่กล่าวไว้แล้วในหัวข้อ
คือ อภิชฌาและโทมนัส ด้วยปัญญาแล้ว ย่อมเป็นผู้วางเฉยอย่างยิ่ง ฉะนั้น
พึงทราบว่า ภิกษุเป็นผู้ตามพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย ในสมัยนั้นอยู่.
* พม่า - 5 อย่าง

ในคำว่า ฉันนั้นเหมือนกัน นี้ พึงเห็นอายตนะทั้ง 6 อย่าง
เหมือนทางใหญ่ 4 แพร่ง กิเลสในอายตนะทั้ง 6 อย่างเหมือนกอง ฝุ่น (ขยะ)
สติปัฏฐาน 4 ที่เป็นไปในอารมณ์ทั้ง 4 เหมือนเกวียนและรถที่กำลังมาจากทิศ
ทั้ง 4 พึงทราบการเข้าไปฆ่าธรรมที่เป็นบาปอกุศลด้วยกายานุปัสนาเป็นต้น
เหมือนการกำจัดกองฝุ่น ด้วยเกวียนหรือรถนั้น ด้วยประการฉะนี้.
จบกิมิลสูตรที่ 10
จบเอกธรรมวรรควรรณนาที่ 1

รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ


1. เอกธรรมสูตร 2. โพชฌงคสูตร 3. สุทธิกสูตร 4.. ปฐม-
ผลสูตร 5. ทุติยผลสูตร 6. อริฏฐสูตร 7. กัปปินสูตร 8. ทีปสูตร
9. เวสาลีสูตร 10. กิมิลสูตร และอรรถกถา.