เมนู

อรรถกถาเวสาลีสูตร



เวสาลีสูตรที่ 9.

คำว่า ใกล้กรุงเวสาลี คือ ใกล้กรุงที่มีโวหาร
อันเป็นไปด้วยอำนาจเพศหญิง ซึ่งมีชื่ออย่างนั้น. จริงอย่างนั้น กรุงนั้น
เรียกว่า เวสาลี เพราะเป็นนครที่กว้างขวาง ด้วยการขยายกำแพงล้อมรอบ
ถึง 3 ครั้ง. และกรุงแม้นี้ เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบรรลุความเป็น
พระสัพพัญญูนั่นเอง ก็พึงทราบว่า ได้บรรลุความไพบูลย์ด้วยอาการทั้งปวง
เมื่อท่านพระอานนท์ได้ระบุโคจรคามอย่างนี้เสร็จแล้ว ก็ได้กล่าวถึงที่สำหรับ
อยู่ว่า ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน. ในคำเหล่านั้น ป่าอย่างใหญ่มีเขต
กำหนด ไม่มีใครปลูกไว้ เกิดขึ้นเอง ชื่อ มหาวัน (ป่าใหญ่). ส่วนป่าใหญ่
ซึ่งอยู่ใกล้กับกรุงกบิลพัสดุ์ เป็นป่าที่มีเขตกำหนดติดเป็นพืดเดียวกันกับ
ป่าหิมพานต์ ไปจนติดทะเลหลวง. ป่าใหญ่นี้หาเป็นเช่นนั้นไม่ เป็นป่าใหญ่
ที่ยังมีขอบเขต ฉะนั้นจึงเรียกว่า มหาวัน. ส่วนศาลาเรือนยอด คือศาลาที่ได้
สร้างเป็นเรือนมียอดไว้ภายในสวนที่อาศัยป่าใหญ่สร้างไว้ ด้วยหลังคากลม
ดุจหงส์. สมบูรณ์ด้วยอาการทุกอย่าง พึงทราบว่าเป็นพระคันธุฏีของพระ-
ผู้มีพระภาคพุทธเจ้า.
คำว่า ทรงแสดงอสุภกถาโดยอเนกปริยาย คือ ทรงแสดงถ้อยคำ
ที่ทำให้หมดความพอใจในกาย* เป็นไปเพื่อชี้ให้เห็นชัดถึงอาการที่ไม่งาม ด้วย
เหตุมิใช่น้อย เช่น มีในร่างกายนี้ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน ฯลฯ น้ำมูตร ดังนี้.
คำนี้ทรงอธิบายไว้อย่างไร. (ทรงอธิบายไว้ว่า) ภิกษุทั้งหลาย ในซากศพขนาด
วาหนึ่งนี้ ใครๆเมื่อพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้ว ย่อมไม่เห็นของสะอาดอะไรๆ แม้แต่
* กัมพุช ที่เป็นเหตุให้ติดกายได้เด็ดขาด

น้อยหนึ่ง ที่จะเป็นมุกดา มณี ไพฑูรย์ กฤษณา จันทน์ หญ้าฝรั่น การบูร
หรือผงเครื่องอบเป็นต้นเลย ที่แท้จะเห็นแต่ของที่สกปรก มีประการต่างๆ
เช่น ผม ขน เล็บ เป็นต้น ซึ่งแสนจะเหม็น มองดูน่าเกลียด และเสียศักดิ์ศรี
ทั้งนั้น ฉะนั้น อย่าไปทำความพอใจ หรือความรักใคร่ในร่างกายนี้เลย ชื่อว่า
ผมทั้งหลาย ที่เกิดบนศีรษะ ซึ่งเป็นส่วนที่สูงสุดแล้ว ก็ยังไม่งามเป็นของ
สกปรก และน่าสะอิดสะเอียนอยู่นั่นเอง. และความไม่สวยไม่สะอาดน่าสะอิด
สะเอียนของผมทั้งหลายนั้น พึงทราบโดยอาการ 5 อย่าง คือ โดยสี โดย
สัณฐาน โดยกลิ่น โดยที่อาศัย และโดยโอกาส. แม้ขนเป็นต้น ก็เป็น
อย่างนี้. นี้เป็นความสังเขปในสูตรนี้ ส่วนความพิสดาร พึงทราบตามนัยที่
กล่าวไว้แล้วในวิสุทธิมรรค. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอสุภกถาโดยอเนก
ปริยาย จำแนกเป็นส่วนละ 5 อย่าง.
คำว่า ตรัสสรรเสริญคุณแห่งอสุภะ คือ เมื่อทรงวางแม่บทแห่งอสุภะ
ด้วยอำนาจศพที่ขึ้นอืดเป็นต้นแล้ว ก็ทรงจำแนกแจกขยายศพนั้น ด้วยรายละเอียด
(บทภาชนีย์) ตรัสถึงคุณของอสุภะ. คำว่า ตรัสสรรเสริญคุณของการเจริญ
อสุภะ คือ การอบรม การเจริญจิต ที่ถือเอาอาการอันไม่งามในผมเป็นต้น
หรือในวัตถุทั้งภายในและภายนอกมีศพที่ขึ้นอืดเป็นต้น แล้วเป็นไปนี้.
เมื่อจะทรงชี้ถึงอานิสงส์แห่งการเจริญอสุภะนั้น จึงตรัสถึงคุณ คือระบุถึงคุณ.
คือ ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่ประกอบอย่างยิ่งในการเจริญอสุภะ ในผม
เป็นต้น หรือในวัตถุมีศพที่ขึ้นอืดเป็นต้น ย่อมได้เฉพาะซึ่งปฐมฌานที่ละ
องค์ 5 ประกอบด้วยองค์ 5 มีความงาม 3 อย่าง สมบูรณ์ด้วยลักษณะ 10
อย่าง เธออาศัยหีบคือจิต กล่าวคือปฐมฌานนั้น เจริญวิปัสสนาแล้ว ย่อม
สำเร็จความเป็นอรหันต์อันเป็นประโยชน์ที่สูงสุด ดังนี้.

คำว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราปรารถนาจะหลีกเร้นอยู่สักกึ่ง
เดือน
ความว่า ภิกษุทั้งหลาย เราต้องการพักผ่อน คือหลีกเร้น ได้แก่ อยู่
เพียงคนเดียวตลอดกึ่งเดือนหนึ่ง. คำว่า ใคร ๆ ไม่พึงเข้ามาหาเรา เว้น
แต่ภิกษุผู้นำบิณฑบาตรูปเดียว
คือ ภิกษุใด ไม่กระทำคำพูดที่ควรแก่ตน
นำบิณฑบาตที่เขาจัดไว้ในตระกูลที่มีศรัทธามาเพื่อประโยชน์แก่เราแล้วน้อม
เข้าไปให้ นอกจากภิกษุผู้นำเอาบิณฑบาตมาให้รูปเดียวแล้ว ใครอื่น ไม่ว่าจะ
เป็นภิกษุ หรือคฤหัสถ์ไม่พึงเข้าไปหาเรา.
ทำไมจึงตรัสอย่างนั้นเล่า. มีเรื่องเล่าว่า ในอดีตกาล พวกพราน
เนื้อ 500 คน เอาท่อนไม้และบ่วง1 เป็นต้น ขนาดใหญ่ ๆ มาล้อมป่า ต่าง
ดีอกดีใจ เลี้ยงชีวิตด้วยการทำการฆ่าเนื้อและนกตลอดชีวิตมาด้วยกันทีเดียว
(ตายแล้ว ). ก็เกิดในนรก. พวกเขาไหม้ในนรกนั้นแล้ว ด้วยกุศลกรรม
บางอย่างที่ทำไว้เมื่อก่อนนั่นแหละ ก็มาเกิดในหมู่มนุษย์ ด้วยอำนาจอุปนิสัย
อันงาม ทุกคนก็ได้บรรพชาและอุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า. เพราะ
อกุศลกรรมเดิมนั้น ของท่านเหล่านั้น อปราปรเจตนาที่ให้ผลยังไม่เสร็จ ก็
ได้ทำโอกาสเพื่อเข้าไปตัดชีวิต ด้วยความพยายามของตัวเอง และด้วยความ
พยายามของคนอื่น ในภายในกึ่งเดือนนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็น
เหตุการณ์นั้น. อนึ่ง ขึ้นชื่อว่า วิบากของกรรมแล้ว ไม่มีใครจะสามารถป้องกัน
ได้ ก็ในภิกษุเหล่านั้น ปุถุชนก็มี พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระ-
อนาคามี พระขีณาสพก็มี. ในท่านเหล่านั้น ที่เป็นพระขีณาสพ ไม่มีการ
สืบต่อภพชาติ อริยสาวกนอกนี้ มีคติที่แน่นอนเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.2 คติ
ของพวกปุถุชนไม่แน่นอน. อย่างไร.
1 กัมพุช. ก้อนดิน. . . เป็นต้น. 2 พม่า มีคติที่แน่นอน มีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระดำริว่า ภิกษุเหล่านี้ เพราะความพอใจ
รักใคร่ในอัตภาพ กลัวมรณภัยแล้ว จะไม่ศึกษาเพื่อชำระคติ เอาเถิดเรา
จะแสดงอสุภกถาเพื่อให้ภิกษุเหล่านั้นละความพอใจรักใคร่ พวกเธอ เมื่อได้ฟัง
อสุภกถานั้นแล้ว. เพราะความที่ปราศจากความพอใจรักใคร่ในอัตภาพแล้ว
จะทำการชำระคติแล้วจะถือเอาปฏิสนธิในสวรรค์ เมื่อเป็นอย่างนี้ การบวช
ในสำนักเราของพวกเธอก็จะมีประโยชน์ เพราะเหตุนั้น เพื่ออนุเคราะห์
พวกเธอ จึงทรงแสดงอสุภกถา ด้วยทรงนุ่งกัมมัฏฐานเป็นสำคัญ มิใช่ทรง
มุ่งจะพรรณนาคุณแห่งความตาย. ครั้นทรงแสดงแล้ว พระองค์ก็ทรง
พระดำริอย่างนี้ว่า หากกึ่งเดือนนี้ พวกภิกษุจะเห็นเรา ก็จะพากันมาบอกว่า
วันนี้มีภิกษุ 1 รูป มรณภาพแล้ว วันนี้ 2 รูป ฯลฯ วันนี้ 10 รูป มรณภาพแล้ว
ก็ผลของกรรมนี้ จะเป็นเราหรือคนอื่นก็ตาม ไม่สามารถจะห้ามได้ เรานั้นถึง
ได้ยินกรรมวิบากนั้น ก็จะทำอะไรได้. ประโยชน์อะไรของเราด้วยการฟังเรื่อง
ฉิบหายเรื่องพินาศด้วยเล่า เอาล่ะ เราจะหลบไม่ให้ภิกษุทั้งหลายเห็น เพราะ
ฉะนั้น จึงได้ตรัสอย่างนั้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราปรารถนาจะหลีกเร้น
อยู่สักกึ่งเดือน ใครๆไม่พึงเข้ามาหาเรา เว้นแต่ภิกษุผู้นำบิณฑบาตไปให้เพียง
รูปเดียว.
แต่ท่านเหล่าอื่นอีก กล่าวว่า หลีกเร้น (พักผ่อน) อย่างนั้น ก็เพื่อ
เว้นจากการติเตียนของคนอื่น. เขาว่า คนเหล่าอื่นจะพากันติเตียนพระผู้มี
พระภาคเจ้าว่า ผู้นี้ปฏิญาณอยู่ว่า เราเป็นสัพพัญญู เป็นผู้ยังพระธรรมจักร
อันประเสริฐ คือ พระสัทธรรมให้เป็นไป ไม่สามารถแม้แต่ห้ามปรามพวกสาวก
ของตนที่กำลังฆ่าตัวเองได้ จะสามารถห้ามปรามคนอื่นได้หรือ. ในกลุ่มนั้น
ที่เป็นบัณฑิตจะกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จตามประกอบการหลีกเร้น
(พักผ่อน) ย่อมไม่ทรงทราบความเป็นไปนี้ แม้ใคร ๆ ที่เป็นผู้กราบทูลให้ทรง
ทราบก็ไม่มี หากทรงทราบจะพึงทรงห้ามปรามเป็นแน่ แต่นี้ เเค่เป็นความต้อง

การเท่านั้น เป็นเหตุการณ์ครั้งแรกเท่านั้นในเรื่องนี้. คำว่า อสฺสุธา ในบทว่า
นาสฺสุธา นี้ เป็นคำลงแทรกเข้ามาในอรรถเพียงทำให้เต็มบท หรือในอรรถ
ห้ามข้อความอย่างอื่น ความก็คือ ไม่มีใครๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเลย.
ที่ชื่อว่า เกลื่อนกล่นด้วยอาการเป็นอเนก ก็เพราะการขวนขวาย
ประกอบการเจริญอสุภะนั้นเกลื่อนกล่นด้วยเหตุเป็นอเนก มีสีและสัณฐานเป็น
ต้น. มีคำอธิบายว่า ระคนปนเปไปด้วยอาการเป็นอเนก คือ เจือคละไปด้วย
การณ์เป็นอเนก. นั้นคืออะไร คือ การขวนขวายประกอบการเจริญอสุภะ.
คำว่า ขวนขวายประกอบการเจริญอสุภะอันเกลื่อนกล่นด้วยอาการเป็น
อเนกนั้นอยู่
คือ เป็นผู้ประกอบแล้วประกอบเล่าอยู่. คำว่า อึดอัด คือ เป็น
ทุกข์ เพราะกายนั้น. คำว่า ระอา คือ รู้สึกละอายอยู่. คำว่า เกลียด คือ
ยังความเกลียดชังให้เกิดขึ้นอยู่. คำว่า แสวงหาศาสตราสำหรับปลงชีวิต
คือแสวงหาศัสตราเครื่องนำเอาชีวิตไป ภิกษุเหล่านั้น ไม่ใช่แต่แสวงหาศัสตรา
มาอย่างเดียวเท่านั้น แต่ปลงตนจากชีวิตด้วย ก็แลพวกภิกษุได้เข้าไปหา
แม้นายมิคลัณฑิกผู้แต่งตัวคล้ายสมณะแล้ว พูดว่า คุณ ! ดีละขอคุณช่วย
ปลงชีวิตพวกอาตมาทีเถิด. ก็ในที่นี้ พวกอริยะไม่ได้ทำปาณาติบาตเลย ไม่ได้
ชักชวน ไม่ได้เห็นดีเห็นงามไปตามด้วย. แต่ปุถุชนได้ทำทุกอย่าง.
คำว่า เสด็จออกจากการหลีกเร้น (พักผ่อน) คือเมื่อได้ทรงทราบ
ความที่พวกภิกษุทั้ง 500 รูปเหล่านั้น ถึงความสิ้นชีวิตแล้ว ก็ทรงออกจาก
ความอยู่ผู้เดียวนั้น แม้ทรงทราบอยู่ ก็เหมือนไม่ทรงทราบ เพื่อให้ถ้อยคำ
ตั้งขึ้นพร้อม จึงตรัสเรียกท่านพระอานนท์ ว่า ดูก่อนอานนท์ เพราะเหตุไร
หนอ ภิกษุสงฆ์ จึงดูเหมือนเบาบางไป.
ความว่า อานนท์ ก่อนแต่นี้
พวกภิกษุเป็นอันมากพากันมาสู่ที่บำรุงด้วยกัน ถือเอาอุเทศ และการสอบถาม
อาราม ดูคล้ายกะว่าโชติช่วงเป็นอันเดียวกัน แต่บัดนี้ โดยล่วงไปแห่งเวลา

แค่ครึ่งเดือน. ภิกษุสงฆ์ คล้ายกับมีน้อยลง คือเกิดเป็นเหมือนเบาบาง อ่อน
น้อย ประปรายไป เหตุอะไรหรือหนอแล หรือว่าพวกภิกษุต่างพากัน
หลีกไปในทิศทั้งหลาย.
ที่นั้น ท่านพระอานนท์ เมื่อไม่เข้าใจถึงความสิ้นชีวิตของภิกษุ
เหล่านั้น เพราะผลกรรม แต่เข้าใจว่าเพราะการตามประกอบในอสุภกัมมัฏฐาน
เป็นปัจจัย จึงกราบทูลคำว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เป็นเช่นนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้า
เป็นต้น เมื่อจะทูลขอกัมมัฏฐานอย่างอื่น เพื่อให้ภิกษุทั้งหลาย
ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ จึงกราบทูลคำเป็นต้นว่า ขอประทานพระวโรกาส
พระผู้มีพระภาคเจ้า
ใจความของคำกราบทูลข้อนั้น (พึงทราบดังต่อไปนี้)
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ดังข้าพระองค์ขอพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า
จงโปรดตรัสบอกการณ์อย่างอื่น ซึ่งเป็นเหตุให้ภิกษุสงฆ์พึงดำรงอยู่ใน
พระอรหัตเถิด มีอธิบายว่า กัมมัฏฐานที่ลงสู่พระนิพพานได้ยังมีมาก ได้แก่
ประเภทอนุสสติ 10 กสิณ 10 จตุธาตุววัตถานะ พรหมวิหารและอานาปานสติ
แม้เหล่าอื่น เหมือนท่าสำหรับลงสู่ทะเลหลวง. ในบรรดากัมมัฏฐานเหล่านั้น
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปลอบโยนพวกภิกษุแล้ว โปรดตรัสบอก
กัมมัฏฐานข้อใดข้อหนึ่งเถิด.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระประสงค์จะทรงทำอย่างนั้น
เมื่อจะทรงส่งพระเถระไป จึงตรัสคำเป็นต้น ว่า ถ้าอย่างนั้น อานนท์. ในคำ
เหล่านั้น คำว่า อาศัยกรุงเวสาลี ความว่า พวกภิกษุมีประมาณเท่าใดที่
เข้าไปอาศัย กรุงเวสาลี อยู่ห่างออกไปหนึ่งคาวุตบ้าง กึ่งโยชน์บ้าง โดยรอบ
เธอจงให้พวกภิกษุทั้งหมดนั้นประชุมกัน. คำว่า ให้ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด
ประชุมกันในอุปัฏฐานศาลา
คือที่ซึ่งพอจะไปด้วยตนเองก็ไปเอง ส่งภิกษุ
* สี. นิสฺสาย อาศัย

หนุ่ม ๆ ไปในที่อื่น ครู่เดียวเท่านั้น ก็ทำพวกภิกษุมาไม่เหลือ ให้ประชุมกันที่
อุปัฏฐานศาลา ต่อไปนี้ เป็นคำอธิบายในคำว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอ
พระผู้มีพระภาคเจ้า จงทราบกาลอันสมควรในบัดนี้เถิด
นี้ ข้าแต่
พระผู้มีพระภาคเจ้า ภิกษุสงฆ์ประชุมกันแล้ว นี้เป็นในเวลาแห่งเทศนา* เพื่อ
ทรงกระทำธรรมกถา บัดนี้ ขอพระองค์ทรงทราบเวลาเพื่อสิ่งใด พึงทรง
กระทำสิ่งนั้นเถิด.
ครั้งนั้นเเล พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสตินี้เเล ครั้นตรัส
เรียกมาแล้ว เมื่อจะทรงบอกปริยายอื่น จากอสุภกัมมัฏฐานที่ได้ทรงบอกมาแล้ว
เมื่อก่อน เพื่อการบรรลุพระอรหัตของพวกภิกษุ จึงตรัสคำเป็นต้นว่า อานา-
ปานสติสมาธิ.
ในคำเหล่านั้น คำว่า อานาปานสฺสติสมาธิ ได้แก่
การตั้งใจมั่นที่ประกอบพร้อมกับความระลึกที่กำหนดถือเอาลมหายใจออกและ
หายใจเข้า หรือความตั้งใจมั่นในการระลึกถึงลมหายใจออกและหายใจเข้า เป็น
สมาธิที่มีการระลึกถึงลมหายใจออกและหายใจเข้าเป็นอารมณ์. คำว่า เจริญแล้ว
ได้แก่ อันให้เกิดขึ้นแล้ว หรืออันให้เจริญแล้ว. คำว่า กระทำให้มากเเล้ว
ได้แก่ อันกระทำแล้วบ่อย ๆ. คำว่า สนฺโต เจว ปณีโต จ แปลว่า สงบ
และประณีตนั่นเทียว. พึงทราบความแน่นอนด้วยเอวศัพท์ทั้งสองแห่ง. ท่าน
อธิบายไว้อย่างไร. อธิบายว่า ก็แลอสุภกัมมัฏฐาน สงบและประณีต ด้วย
อำนาจการแทงตลอดอย่างเดียว แต่เพราะมีอารมณ์หยาบ และเพราะเป็น
อารมณ์ในขณะเกิดขึ้น ด้วยอำนาจแห่งอารมณ์ จึงไม่สงบ ไม่ประณีต ฉันใด
อานาปานสติสมาธินี้ หาเป็นฉันนั้นไม่ บางปริยายอาจไม่สงบ หรือไม่ประณีต
* พม่า ไม่มีแห่งเทศนา

ก็ได้ แต่ว่า ชื่อว่าสงบ ระงับดับแล้วเพราะความที่อารมณ์สงบบ้าง ชื่อว่า
ประณีต ทำให้ไม่รู้สึกอิ่ม เพราะความที่องค์สงบกล่าวคือความแทงตลอดบ้าง
เพราะความที่อารมณ์ประณีตบ้าง เพราะความที่ธรรมประณีตบ้าง. เหตุนั้นพระ
ผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สนฺโต เจว ปณีโต จ ดังนี้.
ก็ในคำว่า ชื่นใจ (ละเมียดละไม) เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุข นี้
ชื่อว่า ชื่นใจ เพราะอานาปานสติสมาธินั้นไม่หยาบ ไม่เปรอะ ไม่ปน แยกเป็น
หนึ่งได้จำเพาะตัว หมายความว่าในอานาปานสติสมาธินี้ บริกรรม หรือความ
สงบด้วยอุปจารไม่มี อานาปานสติสมาธินั้น สงบและประณีต ตาม
ธรรมชาติของตัวเอง เริ่มแต่การรวบรวมจิตใน เบื้องต้นมาทีเดียว. บางท่านว่า
คำว่า ชื่นใจ คือไม่ต้องใส่โอชะลงไป ก็มีรสเอร็ดอร่อยได้ หวานตามธรรมชาติ
โดยแท้. พึงทราบว่า อานาปานสติสมาธินี้ ชื่อว่า ชื่นใจ และชื่อว่าเป็นธรรม
เครื่องอยู่เป็นสุข เพราะเป็นไปเพื่อได้รับความสุขทั้งทางกายและทางใจในขณะ
ที่จิตใจแนบแน่นแล้ว ด้วยประการฉะนี้.
คำว่า ที่บังเกิดขึ้นแล้ว ๆ คือ ที่ยังไม่ได้ข่มไว้แล้ว. คำว่า
ปาปเก คือ ลามก. คำว่า อกุศลธรรม คือ ธรรมที่เกิดพร้อมเพราะความ
ไม่ฉลาด. คำว่า ให้อันตรธานสงบโดยพลัน คือ ให้หายไปได้แก่ข่มไว้ได้
โดยทันทีทันใดทีเดียว. คำว่า วูปสเมติ คือทำให้สงบได้โดยดี มีคำที่ท่าน
อธิบายไว้ว่า อานาปานสติสมาธิที่ถึงความเจริญแห่งอริยมรรคแล้ว ชื่อว่าย่อม
ตัดขาด คือทำให้สงบระงับได้โดยลำดับ เพราะเป็นไปในฝ่ายแทงตลอด. คำว่า
ในเดือนท้ายฤดูร้อน คือ ในเดือนอาสาฬหะ. คำว่า ธุลีและละอองที่
ฟุ้งขึ้น
คือ ในกึ่งเดือน* ฝุ่นและละอองบนแผ่นดินที่แห้งเพราะลมและแดด
* พม่า เพราะความที่อารมณ์เป็นของปฏิกูล.

แตกแยกเพราะเท้าวัวและควายเป็นต้นเหยียบย่างไป ก็ฟุ้งไปเบื้องบน กลบขึ้น
คือตั้งขึ้นพร้อมในอากาศ. คำว่า ฝนใหญ่มิใช่กาล คือฝนที่ตั้งขึ้นปกคลุม
ทั่วทั้งท้องฟ้าแล้วก็ตกลงมาหมดทั้งกึ่งเดือนในข้างขึ้นเดือนอาสาฬหะ ก็ฝนนั้น
ท่านประสงค์เอาในที่นี้ว่า ฝนมิใช่กาล เพราะเกิดขึ้นเมื่อยังไม่ถึงเวลาฝน. คำ
ว่า ให้อันตรธานสงบไป โดยพลัน คือ นำไปสู่ความไม่เห็น ได้แก่
ให้ชำแรกแทรกจมไปในแผ่นดินโดยทันทีทันใดทีเดียว. คำว่า ฉันนั้น
เหมือนกัน
นี้เป็นคำแสดงข้อเปรียบเทียบ. คำต่อจากนั้นไปก็มีนัยอย่างที่กล่าว
แล้วแล.
จบอรรถกถาเวสาลีสูตรที่ 9

10. กิมิลสูตร



การเจริญอานาปานสติสมาธิ



[1355] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน ใกล้
เมืองกิมิลา ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามท่านพระกิมิละว่า ดูก่อน
กิมิละ สมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างไร กระทำ
ให้มากแล้วอย่างไร ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
อย่างนี้แล้ว ท่านพระกิมิละนิ่งอยู่.
[1356] แม้ครั้งที่สอง แม้ครั้งที่สาม พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัส
ถามท่านกิมิละว่า ดูก่อนกิมิละ สมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติ อันภิกษุ
เจริญแล้วอย่างไร กระทำให้มากแล้วอย่างไร ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
ท่านกิมิละก็นิ่งอยู่.