เมนู

ประทานแก่ผู้เช่นนั้น ก็จะประทานแก่เรา อาศัยความถึงพร้อมด้วยชาติ
เท่านั้น ก็ได้รับฐานันดร. เขาฉันใด พึงทราบผู้ที่อาศัยความพินิจพิจารณา
ไตร่ตรองหาเหตุผลล้วน ๆ แล้วทำให้เกิดโลกุตรธรรมด้วยวีมังสาธุระ ฉันนั้น.
ในสูตรนี้ ทรงแสดงอิทธิที่มีวิวัฏฏะเป็นบาท ดังที่ว่ามานี้.
จบอรถกถาฉันทสูตรที่ 3

4. โมคคัลลานสูตร



พระโมคคัลลานะแสดงฤทธิ์



[1154] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ปราสาทของมิคารมารดา
ในบุพพาราม ใกล้กรุงสาวัตถี สมัยนั้น ภิกษุมากรูปที่อยู่ภายใต้ปราสาทของ
มิคารมารดา เป็นผู้ฟุ้งซ่าน อวดตัว มีจิตกวัดแกว่ง ปากกล้า พูดจาอื้อฉาว
ลืมสติ ไม่มีสัมปชัญญะ มีจิตไม่ตั้งมั่น คิดจะสึก ไม่สำรวมอินทรีย์.
[1155] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกท่านพระมหาโมค-
คัลลานะมาตรัสว่า ดูก่อนโมคคัลลานะ สพรหมจารีเหล่านี้ ที่อาศัยอยู่ภายใต้
ปราสาทของมิคารมารดา เป็นผู้ฟุ้งซ่าน อวดตัว มีจิตกวัดแกว่ง ปากกล้า
พูดจาอื้อฉาว ลืมสติ ไม่มีสัมปชัญญะ มีจิตไม่ตั้งมั่น คิดจะสึก ไม่สำรวม
อินทรีย์ ไปเถิดโมคคัลลานะ เธอจงยังภิกษุเหล่านั้นให้สังเวช. ท่านพระ-
มหาโมคคัลลานะทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว แสดงอิทธาภิ
สังขาร ให้ปราสาทของมิคารมารดาสะเทือนสะท้านหวั่นไหวด้วยนิ้วหัวแม่เท้า.

[1156] ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้นเกิดความสลดใจ ขนพองสยองเกล้า
ได้ไปยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่งแล้วพูดกันว่า น่าอัศจรรย์หนอท่าน ไม่เคยมี
มาแล้ว ลมก็ไม่มี ทั้งปราสาทของมิคารมารดานี้ ก็มีรากลึก ฝังไว้ดีแล้ว
จะโยกคลอนไม่ได้ ก็แหละเมื่อเป็นเช่นนี้ อะไรสักอย่างหนึ่งที่ทำให้ปราสาท
นี้สะเทือนสะท้านหวั่นไหว.
[1157] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปยังที่ซึ่งภิกษุ
เหล่านั้นยืนอยู่แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเกิดความสลดใจ
ขนพองสยองเกล้า ไปยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง เพราะเหตุอะไร ภิกษุเหล่านั้น
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้ว ลมก็ไม่มี
ทั้งปราสาทของมิคารมารดานี้ ก็มีรากลึก ฝังไว้ดีแล้ว จะโยกคลอนไม่ได้
ก็แหละเมื่อเป็นเช่นนั้น อะไรสักอย่างหนึ่งที่ทำให้ปราสาทนี้สะเทือนสะท้าน
หวั่นไหว.
[1158] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
โมคคัลลานะประสงค์จะให้เธอทั้งหลายสังเวช จึงทำปราสาทของมิคารมารดา
ให้สะเทือนสะท้านหวั่นไหวด้วยนิ้วหัวแม่เท้า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย
จะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ภิกษุโมคคัลลานะมีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพ
มากอย่างนี้ เพราะได้เจริญธรรมเหล่าไหน เพราะได้กระทำให้มากซึ่งธรรม
เหล่าไหน.
ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลาย มีพระผู้มี
พระภาคเจ้าเป็นรากฐาน มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้นำ มีพระผู้มีพระภาคเจ้า
เป็นที่พึ่ง ขอประทานพระวโรกาส ขอเนื้อความแห่งภาษิตนี้จงแจ่มแจ้งกะ
พระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด ภิกษุทั้งหลายได้ฟังแล้ว จักทรงจำไว้.

[1159] พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น เธอทั้งหลายจง
ฟังเถิด ภิกษุโมคคัลลานะมีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เพราะ
ได้เจริญ ได้การทำให้มากซึ่งอิทธิบาท 4 อิทธิบาท 4 เป็นไฉน ภิกษุ
โมคคัลลานะย่อมเจริญอิทธิบาทประกอบด้วยฉันทสมาธิและปธานสังขาร. . .
วิริยสมาธิ.. . จิตตสมาธิ. . . วิมังสาสมาธิและปธานสังขาร ดังนี้ว่า วิมังสา
ของเราจักไม่ย่อหย่อนเกินไป ไม่ต้องประคองเกินไป ไม่หดหู่ในภายใน
ไม่ฟุ้งซ่านไปในภายนอก และเธอมีความสำคัญในเบื้องหลังและเบื้องหน้าอยู่ว่า
เบื้องหน้าฉันใด เบื้องหลังก็ฉันนั้น เบื้องหลังฉันใด เบื้องหน้าก็ฉันนั้น
เบื้องล่างฉันใด เบื้องบนก็ฉันนั้น เบื้องบนฉันใด เบื้องล่างก็ฉันนั้น กลางวัน
ฉันใด กลางคืนก็ฉันนั้น กลางคืนฉันใด กลางวันก็ฉันนั้น เธอมีจิตเปิดเผย
ไม่มีอะไรหุ้มห่อ อบรมจิตให้สว่างอยู่ ภิกษุโมคคัลลานะมีฤทธิ์มากอย่างนี้
มีอานุภาพมากอย่างนี้ เพราะได้เจริญ ได้กระทำให้มากซึ่งอิทธิบาท 4 เหล่า
นี้แล.
[1160] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะได้เจริญ ได้กระทำให้มากซึ่ง
อิทธิบาท 4 เหล่านี้ ภิกษุโมคคัลลานะย่อมแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง ฯลฯ ใช้
อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้.
[1161] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะได้เจริญ ได้กระทำให้มากซึ่ง
อิทธิบาท 4 เหล่านี้ ภิกษุโมคคัลลานะย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญา
วิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่.
จบโมคคัลลานสูตรที่ 4

อรรถกถาโมคคัลลานสูตร


โมคคัลลานสูตรที่ 4.

ผู้ฟุ้งเป็นปกติ คือผู้มีจิตหวั่นไหว ชื่อว่าเป็น
ผู้ฟุ้งซ่าน. จริงอยู่ จิตย่อมหวั่นไหวในอารมณ์อย่างหนึ่งด้วยอุทธัจจะเหมือน
ชายธงถูกลมพัดฉะนั้น. คำว่า อวดตัว คือลำพอง. มีคำอธิบายว่า มักถือ
ตัวอันหาสารมิได้. คำว่า มีจิตกวัดแกว่ง คือประกอบด้วยความกวัดแกว่งใน
บาตรจีวรและเครื่องประดับเป็นต้น. คำว่า ปากกล้า คือปากจัด มีคำอธิบายว่า
มีคำพูดกล้าแข็ง. คำว่า พูดจาอื้อฉาว คือไม่ยั้งปากคอ ได้แก่พูดตลอดวัน
บ้าง พูดคำที่ไร้ประโยชน์บ้าง. คำว่า ลืมสติ คือลืมความระลึกได้. คำว่า
ไม่มีสัมปชัญญะ คือ เว้นจากปัญญา. คำว่า มีจิตไม่ตั้งมั่น คือเว้นจาก
อุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ. คำว่า วิพฺภนฺตจิตฺตา คือมีจิตหมุนผิดด้วย
ความฟุ้งซ่านที่ได้โอกาสเพราะเว้นจากสมาธิ. คำว่า ปากตินฺทฺริยา คือ ไม่
สำรวมอินทรีย์. คำว่า แสดงฤทธิ์ คือเข้าอาโปกสิณออกแล้ว อธิษฐานส่วน
แห่งแผ่นดินที่ตั้งปราสาทว่าจงเป็นน้ำ เหาะขึ้นฟ้าซึ่งมีปราสาทตั้งอยู่บนหลังน้ำ
แล้วเอานิ้วฟาดลงไป. คำว่า มีรากลึก คือหลุมลึก. หมายความว่า ฝังเข้าไป
สู่ส่วนแผ่นดินที่ลึก. คำว่า ฝังไว้ดีแล้ว คือที่ฝังมิดลงไปอย่างดี คือตอกเข็ม
ตั้งไว้อย่างดี. ในสูตรนี้ ทรงแสดงฤทธิ์ที่มีอภิญญาเป็นบาท.
จบอรรถกถาโมคคัลลานสูตรที่ 4