เมนู

เหล่านี้เรียก ปธานสังขาร วิมังสานี้ด้วย วิมังสาสมาธินี้ด้วย และปธานสังขาร
เหล่านี้ด้วย ดังพรรณนามานี้ นี้เรียกว่า อิทธิบาทประกอบด้วยวิมังสาสมาธิ
และปธานสังขาร.
จบฉันทสูตรที่ 3

อรรถกถาฉันทสูตร



ฉันทสูตรที่ 3.

ความพอใจคือความเป็นผู้ใคร่จะทำ ชื่อว่า ฉันทะ
คำว่า อาศัยแล้ว ได้แก่ทำให้เป็นที่พึงพาอาศัย หมายความว่าทำให้ยิ่งใหญ่
เครื่องปรุงที่เป็นความเพียร ชื่อว่า ปธานสังขาร คำนี้ เป็นชื่อของความ
เพียรที่เรียกชื่อว่า ความเพียรชอบที่ทำหน้าที่สี่อย่างให้สำเร็จ. ความพอใจใน
คำเป็นต้นว่า อิติ อยํ จ ฉนฺโท เป็นฉันทสมาธิประกอบด้วยฉันทะและปธาน
สังขาร แม้ปธานสังขารก็ประกอบด้วยฉันทะและสมาธิ เพราะฉะนั้น พระองค์
จึงทรงรวมธรรมทั้งหมดนั้นเข้าด้วยกัน แล้วตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า
อิทธิบาทที่ประกอบด้วยฉันทสมาธิและปธานสังขาร. ส่วนในอิทธิบาทวิภังค์
ตรัสถึงธรรมที่หารูปมิได้ที่เหลือซึ่งประกอบด้วยธรรมเหล่านี้ด้วยนัยเป็นต้นว่า
เวทนาขันธ์ของผู้เช่นนั้นใด ว่าเป็นอิทธิบาท.
อีกอย่างหนึ่ง ธรรมทั้งสามอย่าง เป็นทั้งฤทธิ์ เป็นทั้งทางให้ถึงฤทธิ์.
อย่างไร. จริงอยู่ เมื่อเจริญฉันทะ ฉันทะก็ย่อมชื่อว่าเป็นฤทธิ์. สมาธิและ
ปธานสังขาร ก็ย่อมชื่อว่าเป็นทางให้ถึงฤทธิ์. เมื่อเจริญสมาธิ สมาธิก็ย่อม

ชื่อว่าเป็นฤทธิ์ ฉันทะและปธานสังขาร ก็ย่อมกลายเป็นทางให้ถึงฤทธิ์แห่ง
สมาธิ เมื่อเจริญปธานสังขาร ปธานสังขารก็กลายเป็นฤทธิ์. ฉันทะและ
สมาธิ ก็จะกลายเป็นทางให้ถึงฤทธิ์แห่งปธานสังขาร เพราะเมื่อธรรมที่
ประกอบพร้อมกันสำเร็จในธรรมอย่างหนึ่ง แม้ธรรมที่เหลือ ก็ย่อมสำเร็จ
เหมือนกัน.
อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบความที่ธรรมเหล่านี้เป็นอิทธิบาท แม้ด้วย
อำนาจความเป็นส่วนเบื้องต้นของธรรมนั้น ๆ. จริงอยู่ ฌานที่ 1 ชื่อว่าเป็น
ฤทธิ์ ฉันทะเป็นต้นที่ประกอบพร้อมกับการตระเตรียมอันเป็นส่วนเบื้องต้นของ
ฌานที่ 1 ก็ชื่อว่าเป็นทางให้ถึงฤทธิ์. ตามนัยนี้ไปจนถึงเนวสัญญานาสัญญาย-
ตนะ เริ่มแต่การแสดงฤทธิ์ไปจนถึงอภิญญาคือตาทิพย์ แล้วนำเอานัยนี้ไป
ใช้ได้ตั้งแต่โสดาปัตติมรรคกระทั่งถึงอรหัตมรรค. แม้ในอิทธิบาทที่เหลือก็
ทำนองนี้.
แต่สำหรับบางท่านกล่าวว่า ฉันทะที่ยังไม่สำเร็จ* เป็นอิทธิบาท. ใน
กรณีนี้ เพื่อเป็นการย่ำยีวาทะของท่านเหล่านั้น เรามีถ้อยคำชื่อว่า อุตตรจูฬวาร
ที่มาในอภิธรรมว่า
อิทธิบาทมี 4 อย่าง คือ ฉันทิทธิบาท วิริยิทธิบาท จิตติทธิบาท
วีมังสิทธิบาท. ในอิทธิบาท 4 นั้น ฉันทิทธิบาท เป็นไฉน. ภิกษุในธรรม
วินัยนี้ สมัยใด เจริญโลกุตรฌาน ที่นำออกจากทุกข์ ที่ให้ถึงความสิ้นไป
แห่งทุกข์ สงัดจากกามทั้งหลายได้แล้ว เพื่อบรรลุชั้นที่ 1 สำหรับละความเห็นผิด
ฯลฯ แล้วเข้าถึงฌานที่ 1 ซึ่งปฏิบัติยาก รู้ได้ช้าแล้วอยู่ ในสมัยนั้น ความพอใจ
ความเป็นผู้พอใจ ความอยากทำ ความฉลาดเฉลียว ความใคร่ธรรม
* พม่า-ยังไม่เกิด

อันนี้ เราเรียกว่า อิทธิบาทคือความพอใจ. ธรรมที่เหลือ ประกอบเข้ากับ
อิทธิบาทคือความพอใจ แต่อิทธิบาทเหล่านี้ มาแล้ว ด้วยอำนาจโลกุตระ
เท่านั้น.
ในอิทธิบาท 4 นั้น พระรัฐปาลเถระ ทำความพอใจให้เป็นธุระ
แล้วจึงยังโลกุตรธรรมให้เกิดได้. พระโสณเถระทำความเพียรให้เป็นธุระ
พระสัมภูตเถระ ทำความเอาใจใส่ให้เป็นธุระ พระโมฆราชผู้มีอายุ ทำความ
พิจารณาใคร่ครวญหาเหตุผลให้เป็นธุระ ด้วยประการฉะนี้. ในอิทธิบาท 4
นั้น เหมือนเมื่อลูกอำมาตย์ 4 คน ปรารถนาตำแหน่ง เข้าไปอาศัยพระราชา
อยู่ คนหนึ่งเกิดความพอใจในการรับใช้ รู้พระราชอัธยาศัย และความพอ
พระราชหฤทัยของพระราชา จึงรับใช้ทั้งกลางวันและกลางคืน ทำให้พระราชา
โปรดปรานแล้ว ก็ได้รับตำแหน่งฉันใด พึงทราบผู้ให้โลกุตรธรรมเกิดได้
ด้วยฉันทธุระ ฉันนั้น.
แต่อีกคนหนึ่ง ไม่อาจรับใช้ทุกๆ วันได้ จึงคิดว่าเมื่อเกิดความจำเป็น
ขึ้น เราจะรับใช้จนสุดสามารถ เมื่อชายแดนกำเริบ ถูกพระราชาส่งไปแล้วก็
ปราบข้าศึกจนสุดสามารถ ได้รับตำแหน่ง. คนนั้น ฉันใด พึงทราบผู้ที่ให้
โลกุตรธรรมเกิดได้ ด้วยวิริยธุระ ฉันนั้น.
อีกคนคิดว่า การรับใช้ทุกๆ วันก็ดี การเอาทรวงอกรับหอกและลูกศร
ก็ดี เป็นภาระโดยแท้ เราจะรับใช้ด้วยกำลังมนต์ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตา
ฝึกหัดความรู้เกี่ยวกับเพลงอาวุธ ทำให้พระราชาโปรดปรานด้วยการจัดแจง
มนต์ (ความรู้) จนได้รับตำแหน่ง. บุคคลนั้นฉันใด พึงทราบผู้ที่ให้โลกุตรธรรม
เกิดได้ด้วยจิตตธุระ (การเอาใจใส่) ฉันนั้น.
อีกคนหนึ่งคิดว่า การรับใช้เป็นต้น จะมีประโยชน์อะไร ธรรมดา
พวกพระราชา ย่อมประทานตำแหน่งแก่ผู้สมบูรณ์ด้วยชาติ (ลูกผู้ดี) เมื่อ

ประทานแก่ผู้เช่นนั้น ก็จะประทานแก่เรา อาศัยความถึงพร้อมด้วยชาติ
เท่านั้น ก็ได้รับฐานันดร. เขาฉันใด พึงทราบผู้ที่อาศัยความพินิจพิจารณา
ไตร่ตรองหาเหตุผลล้วน ๆ แล้วทำให้เกิดโลกุตรธรรมด้วยวีมังสาธุระ ฉันนั้น.
ในสูตรนี้ ทรงแสดงอิทธิที่มีวิวัฏฏะเป็นบาท ดังที่ว่ามานี้.
จบอรถกถาฉันทสูตรที่ 3

4. โมคคัลลานสูตร



พระโมคคัลลานะแสดงฤทธิ์



[1154] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ปราสาทของมิคารมารดา
ในบุพพาราม ใกล้กรุงสาวัตถี สมัยนั้น ภิกษุมากรูปที่อยู่ภายใต้ปราสาทของ
มิคารมารดา เป็นผู้ฟุ้งซ่าน อวดตัว มีจิตกวัดแกว่ง ปากกล้า พูดจาอื้อฉาว
ลืมสติ ไม่มีสัมปชัญญะ มีจิตไม่ตั้งมั่น คิดจะสึก ไม่สำรวมอินทรีย์.
[1155] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกท่านพระมหาโมค-
คัลลานะมาตรัสว่า ดูก่อนโมคคัลลานะ สพรหมจารีเหล่านี้ ที่อาศัยอยู่ภายใต้
ปราสาทของมิคารมารดา เป็นผู้ฟุ้งซ่าน อวดตัว มีจิตกวัดแกว่ง ปากกล้า
พูดจาอื้อฉาว ลืมสติ ไม่มีสัมปชัญญะ มีจิตไม่ตั้งมั่น คิดจะสึก ไม่สำรวม
อินทรีย์ ไปเถิดโมคคัลลานะ เธอจงยังภิกษุเหล่านั้นให้สังเวช. ท่านพระ-
มหาโมคคัลลานะทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว แสดงอิทธาภิ
สังขาร ให้ปราสาทของมิคารมารดาสะเทือนสะท้านหวั่นไหวด้วยนิ้วหัวแม่เท้า.