เมนู

เป็นไปกับส่วนเบื้องต้น. คำว่า ด้วยความเป็นผู้มีจิตที่ประกอบด้วยความ
หวังดี
คือด้วยความรักที่เป็นไปกับส่วนเบื้องต้น. คำว่า ด้วยความเอ็นดู
หมายถึงด้วยความบันเทิงอันเป็นไปกับส่วนเบื้องต้นแห่งความค่อย ๆ เจริญ.
ในคำว่า เมื่อรักษาคนอื่นก็ชื่อว่ารักษาตน นี้มีอธิบายว่า ภิกษุไปสู่ที่พัก
กลางคืนหรือที่พักกลางวันแล้ว ทำฌานหมวดสามหรือหมวดสี่ในพรหมวิหารให้
เกิดแล้ว เอาฌานเป็นที่รองรับมาพิจารณาสังขาร เจริญวิปัสสนาจนได้เป็นพระ-
อรหันต์นี้ ก็พึงทราบว่า เมื่อรักษาคนอื่นก็ชื่อว่ารักษาตนด้วย.
จบอรรถกถาปฐมเสทกสูตรที่ 9

10. ทุติยเสทกสูตร



ว่าด้วยกายคตาสติ


[763] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ นิคมของชาวสุมภะ ชื่อ
เสทกะ ในสุมภชนบท. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุ
ทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า
[764] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนหมู่มหาชนได้ทราบข่าว
ว่า มีนางงามในชนบท ๆ พึงประชุมกัน. ก็นางงามในชนบทนั้น แสดงได้
ดีในการฟ้อนรำ แสดงได้ดียิ่งในการขับร้อง หมู่มหาชนได้ทราบข่าวว่า นาง

งามในชนบทจะฟ้อนรำขับร้อง พึงประชุมกันยิ่งขึ้นกว่าประมาณ. ครั้งนั้น
บุรุษผู้อยากเป็นอยู่ ไม่อยากตาย ปรารถนาความสุข เกลียดทุกข์ พึงมากล่าว
กะหมู่มหาชนนั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ท่านพึงนำภาชนะน้ำมันอัน
เต็มเปี่ยมนี้ไปในระหว่างที่ประชุมใหญ่กับนางงามในชนบท. และจักมีบุรุษ
เงื้อดาบตามบุรุษผู้นำหม้อน้ำมันนั้นไปข้างหลัง ๆ บอกว่า ท่านจักทำน้ำมัน
นั้นหกแม้หน่อยหนึ่งในที่ใด ศีรษะของท่านจักขาดตกลงไปในที่นั้นทีเดียว.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน. บุรุษผู้นั้น
จะไม่ใส่ใจภาชนะน้ำมันโน้น แล้วพึงประมาทในภายนอกเทียวหรือ. ภิกษุทั้ง
หลายกราบทูลว่า ไม่เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
[765] พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราทำอุปมานี้ เพื่อให้เข้าใจเนื้อ
ความนี้ชัดขึ้น เนื้อความในข้อนี้มีอย่างนี้แล คำว่าภาชนะน้ำมันอันเต็มเปี่ยม
เป็นชื่อของกายคตาสติ.
[766] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึง
ศึกษาอย่างนั้นว่า กายคตาสติ จักเป็นของอันเราเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
กระทำให้เป็นดังยาน กระทำให้เป็นที่ตั้ง กระทำไม่หยุด สั่งสมแล้ว ปรารภ
ดีแล้ว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล.
จบทุติยเสทกสูตรที่ 10
จบนาฬันทวรรคที่ 2

อรรถกถาทุติยเสทกสูตร


ในสูตรที่ 10.

คำว่า นางงามในชนบท หมายถึงนางที่งามที่สุด
ในชนบท ซึ้งเว้นจากโทษประจำตัว 6 อย่าง แล้วประกอบด้วยความงาม
5 อย่าง. ก็เพราะนางนั้นไม่สูงนัก ไม่เตี้ยนัก ไม่ผอมนัก ไม่อ้วนนัก ไม่ดำนัก
ไม่ขาวนัก ผิวพรรณแม้จะไม่ถึงทิพย์ แต่ก็เกินผิวพรรณมนุษย์ด้วยกัน ฉะนั้น
จึงจัดว่าปราศจากโทษประจำตัว 6 อย่าง. และเพราะประกอบด้วยความงามเหล่านี้
คือ ผิวงาม เนื้องาม เล็บงาม* (นหารุกลฺยาณํ) กระดูกงาม วัยงาม จึงชื่อว่า
ประกอบด้วยความงาม 5 อย่าง. นางไม่ต้องใช้แสงสว่างจรมาเลย ด้วยแสงสว่าง
ประจำตัวของตนนั่นแหละ ก็ทำให้สว่างในที่มีระยะ 12 ศอก เป็นผิวที่เหมือน
กับดอกประยงค์ หรือเหมือนกับทองคำ นี้เป็นความงามแห่งผิวของนาง.
ส่วนมือเท้าทั้ง 4 และริมฝีปากของนางนั้นเล่า ก็คล้ายกับทาด้วยชาด เหมือน
แก้วประพาฬแดงหรือผ้ากัมพลแดง นี้คือความงามแห่งเนื้อของนาง. ส่วนกลีบ
เล็บทั้ง 20 นั้นเล่า ในทีที่ไม่พ้นจากเนื้อ ก็คล้ายกับเอาชาดมาทาไว้ ที่พ้น
จากเนื้อแล้ว ก็เหมือนกับธารน้ำนม นี้คือความงามแห่งเล็บ* ของนาง. ที่ฟัน
32 ซี่ ซึ่งงอกขึ้นมานั่นเล่า ก็ปรากฏคล้ายเอาเพชรที่เจียระไนแล้วมาเรียงเป็น
แถวไว้ นี้คือความงามแห่งกระดูกของนาง. และต่อให้มีอายุถึง 120 ปี ก็ยัง
สาวพริ้งเหมือนอายุแค่ 16 ปี ผมไม่มีหงอกเลย นี้ คือความงามแห่งวัยของ
นาง. สำหรับในคำว่า มีกระแสเสียงไพเราะอย่างยิ่ง นี้หมายความว่า
กระแสเสียงไหลเอื่อยไป กระแสเสียงนั้นไพเราะอย่างยิ่ง ที่ชื่อว่า มีกระแส
* คำว่า นหารุกลฺยาณํ นี้ อรรถกถาอธิบายเรื่องเล็บ ไม่ได้อธิบายเรื่องเอ็นเลย จึงแปลว่า
เล็บงาม ไม่ใช่เอ็นงามตามศัพท์ อรรถกถาอุทาน นันทวรรค นันทสูตรที่ 2 หน้า 212
แก้ว่า ฉวิกลฺยาณํ มํสกลฺยาณํ นขกลฺยาณํ (เล็บงาม) อฏฺฐิกลฺยาณํ วยกลฺยาณํ