เมนู

[760] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้รักษาตน ย่อมชื่อว่ารักษา
ผู้อื่นอย่างไร. ที่ชื่อว่ารักษาผู้อื่นด้วยการส้องเสพ ด้วยการเจริญ ด้วยการ
กระทำให้มาก. บุคคลผู้รักษาตน ย่อมชื่อว่ารักษาผู้อื่นอย่างนี้แล.
[761] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้รักษาผู้อื่น ย่อมชื่อว่ารักษา
ตนอย่างไร. ที่ชื่อว่ารักษาตนด้วยความอดทน ด้วยความไม่เบียดเบียน ด้วย
ความมีจิตประกอบด้วยเมตตา ด้วยความเอ็นดู. บุคคลผู้รักษาผู้อื่น ย่อม
ชื่อว่ารักษาตนอย่างนี้แล.
[762] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอพึงเสพสติปัฏฐานด้วยคิดว่า เรา
จักรักษาตน พึงเสพสติปัฏฐานด้วยคิดว่า เราจักรักษาผู้อื่น. บุคคลผู้รักษาตน
ย่อมชื่อว่ารักษาผู้อื่น บุคคลผู้รักษาผู้อื่น ย่อมชื่อว่ารักษาตน.
จบปฐมเสทกสูตรที่ 9

อรรถกถาปฐมเสทกสูตร



พึงทราบอธิบายในปฐมเสทกสูตรที่ 9.
บทว่า ในนิคมชื่อสุมภะ ได้แก่ ในชนบทที่มีชื่ออย่างนี้. คำว่า
เมทกถาลิกะ คือ ได้ชื่ออย่างนี้ด้วยอำนาจอิตถีลิงค์. ในบทว่า ท่านจง
รักษาเรา เราจะรักษาท่าน นี้มีอธิบายว่า คนจัณฑาลนั้นมีลัทธิว่า
อาจารย์เมื่อไม่จับเอาไม้ไผ่ ที่ลูกศิษย์ยกขึ้นแล้ว จับไว้ให้ดี ไม่ไปทิศที่เเล่น
ไปแล้ว. ๆ และไม่แลดูปลายไม้ไผ่ตลอดเวลาทั้งหมดชื่อว่าไม่รักษาลูกศิษย์. ลูก
ศิษย์ที่อาจารย์ไม่รักษาแล้วอย่างนี้ตกไปย่อมแหลกละเอียด. แต่ว่า อาจารย์

จับไม้ไผ่ไว้อย่างดี ไปตามทิศที่ลูกศิษย์แล่นไป ๆ นั้น และตรวจดูปลายไม้
ไผ่ตลอดเวลาทั้งหมด ชื่อว่าย่อมรักษาศิษย์นั้น. แม้ลูกศิษย์ที่ไต่ไปข้างโน้น
ข้างนี้ เหนื่อยเหมือนเนื้อวิ่งไปอยู่ ก็ชื่อว่าไม่รักษาอาจารย์. เพราะว่าเมื่อ
เป็นอย่างนั้น ปลายไม้ไผ่ที่คมกล้า ที่วางไว้บนพื้นหรือบนหน้าผากอาจารย์ ก็จะ
พึงทำลายที่อาจารย์นั้นแล้วไป ไม้ไผ่ก็จะไม่โอนไปเพราะครบอาการ ศิษย์เมื่อ
ไม่เอนไปข้างนั้น เหมือนดึงไม้ไผ่นั้นมาเเบ่งออกเป็นส่วนจากส่วนหนึ่ง แล้ว
ให้จับเสาค้ำธาตุ ตั้งสติมั่น นั่งไม่ไหวทีเดียว ย่อมรักษาอาจารย์. อาจารย์
ขอท่านจงรักษาตน กระผมก็จะรักษาตน ในคำนี้มีอธิบายนี้ดังว่ามานี้แล.
อาจารย์ เมื่อจับไม้ไผ่ให้มั่นดี ไปตามทิศที่ศิษย์ไต่ไป ๆ และตรวจดูปลายไม้
ไผ่ตลอดเวลาทั้งหมด ชื่อว่ารักษาตนนั่นเที่ยว ไม่ชื่อว่ารักษาศิษย์. ฝ่ายศิษย์
แบ่งกายให้เป็นส่วน ๆ จากส่วนหนึ่ง แล้วให้เสาค้ำธาตุ ตั้งสติมั่นดี นั่งนิ่ง
ชื่อว่ารักษาตนทีเดียว ไม่ชื่อว่ารักษาอาจารย์.
บทว่า กายนั้นในนั้น ความว่า ศิษย์ชื่อว่า เมทกถาลิกะกล่าว
อุบายใดกะอาจารย์ อุบายนั้น เหตุนั้นก็ใช้ได้ในเหตุนั้น. บทว่า พึงเสพ
สติปัฏฐาน
ความว่า เพื่อเสพสติปัฏฐาน 4. บทว่า ด้วยการซ่องเสพ
ความว่า ด้วยการเสพกรรมฐาน. คำว่า ภิกษุทั้งหลาย บุคคลเมื่อรักษา
ตน ชื่อว่ารักษาผู้อื่นอย่างนี้
ความว่า ภิกษุใดละกามราคะเป็นต้น เสพ
มูลกรรมฐาน ทั้งในที่พักกลางคืนและกลางวัน ย่อมบรรลุพระอรหัต. ทีนั้น
คนอื่นเห็นเธอเข้า คิดว่า ภิกษุนี้ ช่างดีแท้หนอ เป็นผู้ปฏิบัติชอบ แล้ว
ยังจิตให้เลื่อมใสในภิกษุนั้น ครั้นตายไปก็ไปสวรรค์ บุคคลนี้เมื่อรักษาตน
ก็ชื่อว่ารักษาคนอื่นด้วย. คำว่า ด้วยความอดทน ได้แก่ ด้วยความอดทน.
คือความอดกลั้น. คำว่า ด้วยความไม่เบียดเบียน คือ ด้วยความสงสารที่

เป็นไปกับส่วนเบื้องต้น. คำว่า ด้วยความเป็นผู้มีจิตที่ประกอบด้วยความ
หวังดี
คือด้วยความรักที่เป็นไปกับส่วนเบื้องต้น. คำว่า ด้วยความเอ็นดู
หมายถึงด้วยความบันเทิงอันเป็นไปกับส่วนเบื้องต้นแห่งความค่อย ๆ เจริญ.
ในคำว่า เมื่อรักษาคนอื่นก็ชื่อว่ารักษาตน นี้มีอธิบายว่า ภิกษุไปสู่ที่พัก
กลางคืนหรือที่พักกลางวันแล้ว ทำฌานหมวดสามหรือหมวดสี่ในพรหมวิหารให้
เกิดแล้ว เอาฌานเป็นที่รองรับมาพิจารณาสังขาร เจริญวิปัสสนาจนได้เป็นพระ-
อรหันต์นี้ ก็พึงทราบว่า เมื่อรักษาคนอื่นก็ชื่อว่ารักษาตนด้วย.
จบอรรถกถาปฐมเสทกสูตรที่ 9

10. ทุติยเสทกสูตร



ว่าด้วยกายคตาสติ


[763] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ นิคมของชาวสุมภะ ชื่อ
เสทกะ ในสุมภชนบท. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุ
ทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า
[764] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนหมู่มหาชนได้ทราบข่าว
ว่า มีนางงามในชนบท ๆ พึงประชุมกัน. ก็นางงามในชนบทนั้น แสดงได้
ดีในการฟ้อนรำ แสดงได้ดียิ่งในการขับร้อง หมู่มหาชนได้ทราบข่าวว่า นาง