เมนู

อรรถกถาจุนทสูตร



จุนทสูตรที่ 3.

คำว่า ในแคว้นมคธ คือ ในชนบทที่มีชื่ออย่าง
นั้น. คำว่า ในตำบลนาฬกะ คือ ในตำบลที่มีชื่ออย่างนั้น อันเป็นของสกุล
ของตนไม่ไกลกรุงราชคฤห์.
บทว่า สามเณรชื่อว่าจุนทะ ความว่า พระเถระนี้เป็นน้องชาย
คนเล็กของพระธรรมเสนาบดี ในเวลาที่ท่านยังไม่อุปสมบท พวกพระร้องเรียก
ท่านว่า สามเณรจุนทะ แม้เวลาเป็นพระเถระก็ร้องเรียกอย่างนั้นเหมือนกัน
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สามเณรจุนทะ.
บทว่า เป็นผู้ทำการอุปัฏฐาก ความว่า เป็นผู้ถวายการอุปัฏฐาก
ด้วยน้ำล้างหน้า ไม้สีฟัน และน้ำฉัน กวาดบริเวณ นวดหลังและรับบาตร
จีวร.
บทว่า ปรินิพพานแล้ว ความว่า ปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิ-
เสสนิพพานธาตุ.
บทว่า เวลาไหน ความว่า ในปีปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ในเรื่องนั้น มีอนุปุพพิกถา ดังต่อไปนี้.
ทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอยู่จำพรรษาแล้ว เสด็จออกจาก
หมู่บ้านเวฬุวะ ทรงดำริว่า เราจะไปเมืองสาวัตถี แล้วเสด็จกลับจากทางที่เสด็จ
มานั่นเทียว ถึงเมืองสาวัตถีโดยลำดับแล้วเสด็จไปพระเชตวัน. พระธรรม
เสนาบดี แสดงวัตรถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วไปที่พักกลางวัน. เพื่อนเหล่า
อันเตวาสิกในที่นั้นแสดงวัตรหลีกไปแล้ว ท่านจึงกวาดที่พักกลางวัน ปูแผ่น
หนัง ล้างเท้าแล้วนั่งคู้บัลลังก์เข้าผลสมาบัติ. ลำดับนั้น เมื่อท่านออกจากผล

สมาบัตินั้น ตามกำหนดแล้ว เกิดความปริวิตกนี้ว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
จักปรินิพพานก่อนหรือหนอ หรือว่าพระอัครสาวกปรินิพพานก่อน. แต่นั้น
รู้แล้วว่า พระอัครสาวกปรินิพพานก่อน แล้วจึงตรวจดูอายุสังขารของตน.
รู้แล้วว่า อายุสังขารของเราจักเป็นไปได้เพียง 7 วัน เท่านั้น จึงคิดว่า เราจะ
ปรินิพพานที่ไหน. ลำดับนั้นจึงคิดแล้วคิดอีกว่า พระราหุลปรินิพพานใน
ดาวดึงส์พิภพ พระอัญญาโกณฑัญญเถระ ปรินิพพานที่สระฉัททันต์ เราจะ
ปรินิพพานที่ไหน ดังนี้ จึงเกิดความสังเวชปรารภมารดาว่า มารดาของเรา
ก็เป็นมารดาของพระอรหันต์ถึง 7 องค์ ยังไม่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม
และพระสงฆ์เลย ท่านมีอุปนิสัยหรือหนอ ได้เห็นอุปนิสัยแห่งพระ-
โสดาปัตติมรรค จึงตรวจดูว่า จักบรรลุด้วยเทศนาของใคร ทราบว่า จัก
บรรลุด้วยธรรมเทศนาของเราเท่านั้น มิใช่ของใครอื่น ก็ถ้าเราพึงขวนขวาย
น้อย ก็จักมีคนกล่าวกับเราว่า พระสารีบุตรเถระ เป็นที่พึ่งของตนที่เหลือ
ทั้งหลาย จริงอย่างนั้น ในวันแสดงสมจิตตสูตรของท่าน เทวดาพันโกฏิ บรรลุ
พระอรหัต เทวดาที่แทงตลอดมรรคทั้ง 3 ก็นับไม่ถ้วน ปรากฏการตรัสรู้
ในที่อื่น ๆ อีกมาก และตระกูลแปดหมื่นทำใจให้เลื่อมใสในพระเถระ ก็ได้
เกิดในสวรรค์ทั้งนั้น บัดนี้ ท่านไม่อาจที่จะเปลื้องแม้เพียงความเห็นผิดของ
มารดาของคนได้ เพราะฉะนั้น จึงตกลงใจว่า เราจักเปลื้องมารดาจากความ
เห็นผิดแล้วปรินิพพานในห้องที่เกิดนั่นแหละ จึงคิดแล้วว่า วันนี้เทียว เราจะ
ขออนุญาตพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วออกไป ดังนี้ จึงเรียกพระจุนทเถระมาว่า
จุนทะ เธอจงให้สัญญาแก่ภิกษุบริษัท 500 รูปของเราว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
จงถือเอาบาตรและจีวรไป พระธรรมเสนาบดี ประสงค์จะไปบ้านนาฬกะ.
พระเถระก็ได้ทำอย่างนั้น. ภิกษุทั้งหลายจึงเก็บเสนาสนะถือบาตรและจีวรไป
สำนักพระเถระ.

พระเถระเก็บเสนาสนะ กวาดที่พักกลางวัน และยืนที่ประตูพัก
กลางวัน ตรวจดูที่พักกลางวัน คิดว่า บัดนี้เป็นการเห็นครั้งสุดท้าย จะไม่มี
การมาอีกแล้ว มีภิกษุ 500 รูป แวดล้อมเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถวาย
บังคมแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอนุญาตข้าพระองค์ ขอพระสุคตเจ้าทรงอนุญาต นี้
เป็นกาลปรินิพพานของข้าพระองค์ อายุสังขารข้าพระองค์ปลงลงแล้ว ก็เพราะ
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อตรัสว่า เธอจะปรินิพพาน ก็จะกลายเป็นสรรเสริญ
ความตาย เมื่อตรัสว่า เธออย่าปรินิพพาน คนผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิก็จะยกโทษว่า
กล่าวสรรเสริญคุณของวัฏฏะ ฉะนั้น จึงไม่ตรัสคำแม้ทั้งสอง เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า เธอจักปรินิพพานที่ไหน สารีบุตร เมื่อ
พระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักปรินิพพาน
ในห้องที่ข้าพระองค์เกิดในบ้านนาฬกะ แคว้นมคธนั้น จึงตรัสว่า สารีบุตร
เธอจงสำคัญเวลาในบัดนี้ ก็การเห็นภิกษุเช่นเธอ ของภิกษุผู้เป็นทั้งที่และน้อง
ของเธอจักหาได้ยากในบัดนี้ เธอจงแสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น.
พระเถระรู้แล้วว่า พระศาสดาทรงหวังเฉพาะการแสดงธรรมที่ขึ้นต้น
ด้วยการแสดงฤทธิ์ของเรา ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วเหาะขึ้นไป
ประมาณชั่วต้นตาล เหาะลงแล้วถวายบังคมพระบาทพระทศพล และเหาะ
ขึ้นไปประมาณสองชั่วลำตาลอีกลงแล้ว ถวายบังคมพระบาทพระทศพล แล้ว
เหาะขึ้นไปประมาณเจ็ดชั่วลำตาลโดยทำนองนี้ แสดงปาฏิหาริย์หลายร้อยอย่าง
แล้วปรารภธรรมกถา. พระเถระกล่าวธรรมกถาด้วยกายที่ปรากฏบ้าง ไม่
ปรากฏบ้าง ด้วยกายเบื้องบน เบื้องล่าง หรือครึ่งกาย บางทีก็แสดงเป็นรูป
พระจันทร์โดยไม่มีใครเห็น บางครั้งก็เป็นรูปพระอาทิตย์ บางครั้งก็เป็นรูป
ภูเขา บางทีก็เป็นรูปทะเล บางทีก็เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ บางทีก็เป็น

เวสวัณมหาราช บางทีก็เป็นท้าวสักกมหาราช บางทีก็เป็นท้าวมหาพรหม
เมื่อแสดงปาฏิหาริย์หลายร้อยอย่าง อย่างนี้ พระเถระจึงกล่าวธรรมกถา ชาว
พระนครทั้งสิ้นประชุมกันแล้ว พระเถระเหาะลงแล้ว ได้ยืนถวายบังคม
พระบาทพระทศพล.
ลำดับนั้น พระศาสดา ได้ตรัสกะพระเถระนั้นว่า สารีบุตร ธรรม
ปริยายนี้ ชื่ออะไร.
ส. ชื่อ สีหนิกีฬิตะ พระเจ้าข้า.
พ. สารีบุตร เอาเถิด ธรรมปริยายนี้ ชื่อว่า สีหนิกีฬิทะ สารีบุตร
เอาเถิด กระบวนธรรมนี้ชื่อว่า สีหนิกีฬิตะ. พระเถระได้เหยียดมือมีสีดัง
ครั่งสด แล้วจีบที่ข้อพระบาท เช่นกับลายเต่าทอง ของพระศาสดา พลาง
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์บำเพ็ญบารมีมาหนึ่งอสงไขย
กำไรแสนกัป ก็เพื่อถวายบังคมพระบาททั้งสองนี้ของพระองค์ มโนรถของ
ข้าพระองค์ถึงที่สุดแล้ว บัดนี้ แต่นี้ไปการประชุมกันในที่เดียวกันด้วยอำนาจ
ปฏิสนธิจะมิได้มีอีกแล้ว สมาคมก็จะมิได้มี ความคุ้นเคยกันได้ขาดแล้ว ข้า-
พระองค์จักเข้าเมือง คือ พระนิพพาน ที่ไม่แก่ ไม่ตาย เกษม มีสุข เย็นสนิท
ไม่มีภัย ที่พระพุทธเจ้าหลายแสนพระองค์เข้าไปแล้ว ถ้าว่า พระองค์ไม่ทรง
ชอบพระทัย โทษไร ๆ ของข้าพระองค์ ที่เป็นไปทางกายหรือทางวาจา ขอ
พระองค์ทรงอดโทษนั้นด้วย ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า นี้เป็นการไปของ
ข้าพระองค์แล้ว.
พ. สารีบุตร เราอดโทษต่อเธอ ก็โทษไร ๆ ขอเธอที่เป็นไปทาง
กาย หรือทางวาจา ที่ไม่ชอบใจเราไม่มีเลย สารีบุตร บัดนี้เธอจงสำคัญ
กาลอันควรเถิด.

เมื่อท่านพระสารีบุตรพถวายบังคมพระบาทพระศาสดา ลุกขึ้นใน
ลำดับที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้ว แผ่นดินใหญ่แม้ที่กำหนดนับด้วย
ภูเขาสิเนรุ ภูเขาจักรวาล ภูเขาหิมพานต์ และภูเขาบริภัณฑ์ ร้องขึ้นพร้อม
กันดุจกล่าวว่า เราไม่อาจจะทรงกองแห่งพระคุณนี้ไว้ได้ในวันนี้ ได้ไหวแล้ว
จนถึงน้ำเป็นที่สุด เทพมโหระทึกในอากาศก็บรรเลงขึ้น มหาเมฆตั้งขึ้นแล้ว
ให้ฝนโบกขรพรรษตกแล้ว. พระศาสดาทรงดำริว่า เราจักให้พระธรรม
เสนาบดีแสดงโดยเฉพาะ ดังนี้แล้ว จึงทรงลุกขึ้นจากที่ฟังธรรม เสด็จมุ่งหน้า
ต่อพระคันธกุฏี ได้ประทับยืนบนแผ่นแก้ว. พระเถระทำประทักษิณ 3 ครั้ง
แล้ว ถวายบังคมในที่ 4 แห่ง กราบทูลแล้วว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
เลยไปหนึ่งอสงไขย กำไรแสนกัปแต่กัปนี้ไป ข้าพระองค์หมอบลงที่ใกล้
พระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า อโนมทัสสี ปรารถนา
เห็นพระองค์ ความปรารถหาของข้าพระองค์นั้นสำเร็จแล้ว ข้าพระองค์เห็น
พระองค์แล้ว เป็นการเห็นครั้งแรก นี้เป็นการเห็นครั้งสุดท้าย การได้เห็น
พระองค์ไม่ได้มีอีกแล้ว ดังนี้ แล้วประคองอัญชลี ซึ่งรุ่งเรื่องด้วยการประชุม
แห่งนิ้วทั้งสิบ หันหน้าเฉพาะตราบเท่าที่ที่จะเห็นได้ ถอยกลับแล้วถวายบังคม
แล้วหลีกไป. มหาปฐพีไม่อาจจะทรงไว้ได้ ไหวจนถึงน้ำรองรับแผ่นดิน.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสกะเหล่าภิกษุที่ยืนแวดล้อมว่า ภิกษุทั้งหลาย พวก
เธอจงติดตามพี่ชายของพวกเธอเกิด ขณะนั้น บริษัท 4 ละพระสัมมาสัม-
พุทธเจ้าไว้พระองค์เดียวในพระเชตวัน ออกไปไม่เหลือเลย.
ฝ่ายชาวพระนครสาวัตถี พากันพูดว่า ข่าวว่า พระสารีบุตรเถระ
ทูลลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ประสงค์จะปรินิพพานออกไปแล้ว พวกเรา
จะไปเยี่ยมท่าน พากันถือเอาของหอมและพวงมาลัยเป็นต้น ออกไปจนแน่น
ประตูเมือง สยายผม ร้องไห้ คร่ำครวญ โดยนัยเป็นต้นว่า บัดนี้พวกเราเมื่อ

ถามว่า ท่านผู้มีปัญญามากนั่งที่ไหน พระธรรมเสนาบดีนั่งที่ไหน ดังนี้ จะ
ไปสำนักของใคร จะไปวางสักการะในมือของใคร พระเถระหลีกไปแล้ว จึง
ได้ติดตามพระเถระ. พระเถระเพราะความที่ตนดำรงอยู่ในปัญญามาก คิดแล้ว
ว่า ทางนี้คนทั้งหมดไม่ควรก้าวเลยมา แล้วโอวาทมหาชนว่า ท่านผู้มีอายุ
ทั้งหลาย แม้พวกท่านจงหยุด อย่าถึงความประมาทในพระทศพลเลย แล้วให้
หมู่ภิกษุกลับ หลีกไปกับบริษัทของตน. พวกมนุษย์เหล่าใดต่างคร่ำครวญว่า
ครั้งก่อน พระผู้เป็นเจ้าเที่ยวจารึกไปแล้วก็กลับมา บัดนี้ การไปนี้เป็นการ
ไปเพื่อไม่กลับมาอีก จึงพากันติดตามอยู่อย่างนั้น. พระเถระกล่าวก็มนุษย์
เหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลาย พวกท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาท ชื่อว่า สังขาร
ทั้งหลายย่อมเป็นอย่างนี้ จึงให้กลับแล้ว.
ลำดับนั้นแล ท่านพระสารีบุตรทำการสงเคราะห์พวกมนุษย์ตลอด
เจ็ดวัน ในระหว่างทางพักแรมคืนเดียว ในที่ทุกแห่ง ถึงบ้านนาฬกะเวลาเย็น
ได้ยืนที่โคนต้นนิโครธใกล้ประตูบ้าน ลำดับนั้น หลานของพระเถระ ชื่อว่า
อุปเรวตะ ไปนอกบ้าน ได้เห็นพระเถระแล้ว จึงเข้าไปยืนไหว้อยู่แล้ว.
พระเถระจึงกล่าวกับเขาว่า ยายของเธออยู่ในเรือนหรือ.
อุ. ครับ ท่านผู้เจริญ.
ส. เธอจงไปบอกว่าเรามาที่นี้. เมื่อยายกล่าวว่า มาเพราะเหตุอะไร
จงกล่าวว่า ข่าวว่า พระเถระจะอยู่ในบ้านตลอดวันหนึ่งในวันนี้ ท่านจงจัด
แจงห้องที่พระเถระเกิด และข่าวว่า ท่านจงรู้ที่เป็นที่อยู่ของภิกษุ 500 รูป.
เขาไปแล้วบอกว่า ยาย ลุง ของผมมาแล้ว.
ยาย. เวลานี้ อยู่ที่ไหน.
อุ. ประตูบ้าน.
ย. มีใครอื่นมาบ้างไหม.

อุ. มีภิกษุ 500 รูป.
ย. มาทำไม.
เขาบอกความเป็นไปนั้น. นางพราหมณี คิดอยู่ว่า ลูกชายเราทำไม
จึงให้เตรียมที่อยู่แก่พวกภิกษุเท่านี้ ท่านบวชมาตั้งแต่หนุ่ม ตอนแก่อยากจะ
สึกละกระมัง จึงให้จัดแจงห้องคลอด ให้ทำที่เป็นที่พักของภิกษุ 500 รูป
ให้จุดเทียนและตะเกียงส่งไปถวายพระเถระ ๆ พร้อมกับพวกภิกษุขึ้นปราสาท
เข้าไปนั่งยังห้องคลอด พอนั่งลงแล้วก็ส่งพวกภิกษุไปว่า พวกท่านจะไปพัก
ผ่อนกันเถิด พอพวกภิกษุไปแล้วเท่านั้น อาพาธอย่างกล้าก็เกิดขึ้นแก่พระเถระ
เวทนาปางทายเพราะถ่ายเป็นโลหิต ต้องเอาภาชนะหนึ่งเข้าไป (รองรับ) เอา
ภาชนะหนึ่งออกมา. นางพราหมณี คิดว่า เราไม่ชอบใจความเป็นไปแห่งบุตร
ของเราเลย ได้ยืนพิงประตูห้องที่อยู่ของตน. ท้าวมหาราชทั้ง 4 ตรวจดูอยู่ว่า
พระธรรมเสนาบดีอยู่ที่ไหน เห็นแล้วว่า นอนบนเตียงเป็นที่ปรินิพพาน ใน
ห้องที่ตนคลอดในบ้านนาฬกะ พวกเราจักไปเยี่ยมเป็นครั้งสุดท้าย มาแล้วได้
ยืนไหว้อยู่แล้ว.
สารีบุตร. พวกท่านเป็นใคร.
มหาราช. เป็นท้าวมหาราชขอรับ.
สารีบุตร. มาเพราะเหตุไร.
มหาราช. จักบำรุงท่านผู้เป็นไข้.
ส. ช่างเถิด ผู้บำรุงเราผู้เป็นไข้มีอยู่ พวกท่านจงไปเถิด แล้วได้
ส่งไป คล้อยหลังท้าวมหาราชทั้ง 4 ไปแล้ว ท้าวสักกะจอมเทพก็มาแล้วโดย
นัยนั้นนั่นแหละ ก็เมื่อท้าวสักกะไปแล้ว ท้าวมหาพรหมก็มา พระเถระก็ได้
ส่งท่านเหล่านั้นไป เหมือนอย่างนั้นนั่นแล. เมื่อนางพราหมณี เห็นพวกเทวดา

พากันมาจึงคิดว่า เทวดาเหล่านี้ ไหว้บุตรของเราแล้วก็ไป เพราะเหตุอะไร
หนอแล จึงไปยังประตูห้องพระเถระแล้วถามว่า พ่อจุนทะมีความเป็นไปอย่างไร.
พระจุนทะ บอกความเป็นไปนั้นแล้วจึงเรียนพระเถระว่า ท่านผู้เจริญ มหา-
อุบาสิกมา. พระเถระจึงถามว่า เพราะเหตุไรจึงมาในเวลาไม่เหมาะ. นางจึง
กล่าวว่า พ่อ แม่มาเพื่อเยี่ยมลูก แล้วจึงถามว่า พ่อ พวกใครมาก่อน.
สารีบุตร. ท้าวมหาราชทั้ง 4 มหาอุบาสิกา.
มารดา. เจ้าใหญ่กว่าท้าวมหาราชทั้ง 4 หรือพ่อ.
ส. อุบาสิกา ท้าวมหาราชทั้ง 4 เหมือนเด็กวัด ตั้งแต่พระศาสดา
ของพวกเราถือปฏิสนธิ ก็ถือพระขรรค์ รักษาแล้ว.
ม. พ่อ คล้อยหลังท้าวมหาราชไปแล้วใครเล่า.
ส. ท้าวสักกะจอมเทพ.
ม. เจ้าใหญ่กว่าจอมเทพหรือ พ่อ.
ส. อุบาสิกา ท้าวสักกะก็เช่นเดียวกับสามเณรผู้ถือสิ่งของเวลาที่พระ-
ศาสดาของพวกเรา เสด็จลงจากดาวดึงสพิภพ ก็ได้ถือบาต รจีวรตามลงมา.
ม. พ่อ หลังจากที่ ท้าวสักกะนั้นไปแล้ว ดูเหมือนสว่างไสว ใครมา.
ส. อุบาสิกา นั่นก็คือมหาพรหม ผู้เป็นพระเจ้าและศาสดาของโยม.
ม. พ่อยังใหญ่กว่ามหาพรหมพระเจ้าของโยมหรือ.
ส. ใช่ อุบาสิกา เล่ากันมาว่า ชื่อว่ามหาพรหม 4 เหล่านั้น วันที่
พระศาสดาของพวกเราประสูติ เอาข่ายทองรองรับพระมหาบุรุษ.
ขณะนั้น เมื่อนางพราหมณีคิดว่า เพียงลูกของเรายังมีอานุภาพเท่า
นี้ พระศาสดาซึ่งเป็นพระเจ้าของลูกเราจักมีอานุภาพขนาดไหนหนอ พลันปีติ
ห้าอย่างเกิดขึ้นแผ่ไปทั่วสรีระ. พระเถระคิดว่า ปีติโสมนัสเกิดขึ้นแล้วแก่มารดา

เที่ยว. บัดนี้เป็นเวลาสมควรแสดงธรรม จึงกล่าวว่า มหาอุบาสิกา ท่านกำลัง
ม. พ่อ แม่กำลังคิดถึงเห็นว่า เพียงลูกเรายังมีคุณถึงเพียงนี้ แล้ว
ศาสดาของลูกนั้นจะขนาดไหน.
ส. มหาอุบาสิกา ในขณะที่พระศาสดาของอาตมาประสูติ ในขณะเสด็จ
ออกผนวช ในขณะตรัสรู้ และในขณะประกาศธรรมจักร หมื่นโลกธาตุหวั่น
ไหวแล้ว ขึ้นชื่อว่าผู้ที่เสมอด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติและวิมุตติญาณทัส-
สนะไม่มี แล้วก็แสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับพระคุณของพระพุทธเจ้า ที่ขยาย
ให้พิสดารว่า แม้เพราะเหตุนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ดังนี้ เป็นต้น.
เวลาจบธรรมเทศนาของลูกรัก นางพราหมณี ดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผล
แล้ว จึงกล่าวกับลูกว่า พ่ออุปติสสะ ทำไม พ่อจึงทำอย่างนั้น พ่อไม่ได้ให้
อมตธรรมเห็นปานนี้แก่แม่ตลอดกาลเท่านี้. พระเถระคิดว่า บัดนี้เราให้
เท่านี้ก็ควรแก่มารดาแล้ว ค่าเลี้ยงดู สำหรับแม่พราหมณีสารี จักควรด้วย
เหตุเท่านี้ จึงกล่าวว่า มหาอุบาสิกา ท่านจงไปเถิด ส่งนางพราหมณีไปจึง
กล่าวว่า จุนทะ เวลาเท่าไร.
จุนทะ. จวนสว่างแล้ว ขอรับ.
ส. เธอจงประชุมภิกษุสงฆ์.
จ. ภิกษุสงฆ์ประชุมกันแล้ว ขอรับ.
ส. เธอจงประคองเราให้นั่ง จุนทะ.
พระจุนทะ ประคองให้นั่งแล้ว. พระเถระจึงเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า
อาวุโส เมื่อพวกท่านทั้งหลายเที่ยวไปกับผมตลอด 44 ปี กรรมใดของผม
ที่เป็นไปทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี ซึ่งพวกท่านไม่ชอบใจ ขอให้พวกท่านจงอด
โทษแก่ผมด้วย.

ภิกษุ. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ย่อมไม่มีแก่พวก
ข้าพเจ้า ผู้ไม่ละท่านเที่ยวไป ดุจเงาของท่าน ตลอดกาลเท่านี้. แต่ว่า ขอ
ท่านจงอดโทษให้แก่พวกข้าพเจ้าเถิด.
ลำดับนั้น พระเถระดึงมหาจีวรมาปิดหน้า นอนโดยข้างขวา เข้า
สมาบัติ 9 ตามลดับสมาบัติทั้งโดยอนุโลมและปฏิโลม เหมือนพระศาสดา แต่ว่า
เข้าต้นแต่ปฐมฌานจนถึงจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานนั้นแล้ว ให้มหา-
ปฐพีสั่นสะเทือนในทันใดนั้นเอง ปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ.
อุบาสิกาคิดว่า ลูกของเราไม่กล่าวอะไรเลยหรือหนอ ลุกขึ้นนวดหลัง
เท้ารู้ว่าปรินิพพานแล้ว เปล่งเสียงดังหมอบที่เท้า กล่าวว่า พ่อพวกเราไม่รู้คุณ
ของพ่อ ก่อนแต่นี้ ก็บัดนี้แม่ไม่ได้เพื่อนิมนต์ภิกษุร้อยหลายพัน หลาย
แสน ตั้งต้นแต่พ่อให้นั่งฉันในนิเวศน์นี้ ไม่ได้เพื่อให้นุ่งห่มด้วยจีวร ได้เพื่อ
ให้สร้างวิหารเป็นพัน ดังนี้ คร่ำครวญอยู่แล้ว จนถึงอรุณขึ้น. เมื่ออรุณพอ
ขึ้นเท่านั้น นางก็ให้เรียกช่างทองมาให้เปิดห้องเก็บทอง ให้ชั่งด้วยตาชั่งใหญ่
ส่งไปด้วยกล่าวว่า พ่อทั้งหลาย จงทำเรือนยอดห้าร้อย เรือนต้อนรับแขกห้าร้อย.
ฝ่ายท้าวสักกเทวราช ตรัสเรียกวิสสุกรรมเทพบุตรมาตรัสว่า พ่อ
พระธรรมเสนาบดี ปรินิพพานแล้ว พ่อจงเนรมิตเรือนยอดห้าร้อย เรือนต้อน
รับแขกห้าร้อย. เรือนที่มหาอุบาสิกาให้สร้างแล้ว รวมกับที่พระวิษณุกรรม
เนรมิตเข้าด้วยกัน เป็นสองพัน ด้วยประการฉะนี้. ลำดับนั้น คนทั้งหลายจึงให้
สร้างมหามณฑปล้วนของสาระ วางเรือนยอดใหญ่ไว้ท่านกลางมณฑป แล้ว
วางของที่เหลือโดยสังเขปว่าเป็นบริวารปรารภการเล่นอย่างดีระหว่างพวกเทวดา
ได้มีเหล่ามนุษย์ ระหว่างเหล่ามนุษย์ได้มีพวกเทวดา. อุปัฏฐายิกาของพระเถระ
คนหนึ่งชื่อ เรวดี คิดว่า เราจักบูชาพระเถระ จึงให้ทำเสาดอกไม้ทอง 3 ต้น.
ท้าวสักกเทวราชคิดว่า เราจักบูชาพระเถระ มีนักฟ้อนสองโกฏิห้าแวดล้อม เสด็จ

ลงแล้ว. มหาชนหันหน้ากลับด้วยคิดว่า ท้าวสักกะเสด็จลง. แม้อุบาสิกา
นั้นในที่นั้นถอยกลับอยู่ เพราะมีภาระหนัก ไม่อาจจะถอยไป ณ ที่ควรข้างหนึ่ง
ล้มลงแล้วในระหว่างพวกมนุษย์. พวกมนุษย์ไม่เห็นอยู่ได้เหยียบอุบาสิกานั้น
แหละไปแล้ว นางตายในที่นั้น เกิดในวิมานทอง ภพชั้นดาวดึงส์. ขณะที่เกิด
นั่นเทียว นางได้มีอัตภาพ 3 คาวุตโดยประมาณ เหมือนท่อนแก้ว นาง
ประดับด้วยเครื่องประดับประมาณเต็มหกสิบเล่มเกวียน มีนางฟ้าพันหนึ่ง
แวดล้อมแล้ว. นางฟ้าทั้งหลาย จึงวางกระจกสำหรับกายทั้งหมด อันเป็นทิพย์
ไว้ข้างหน้านาง. นางเห็นสิริสมบัติของตน คิดอยู่ว่า เราทำกรรมอะไรหนอ
ด้วยสมบัติอันมาก ได้เห็นแล้วว่า เราได้ทำการบูชาพระเถระด้วยเสาดอกไม้ทอง
สามต้น ในที่ปรินิพพานของพระสารีบุตรเถระ มหาชนเหยียบเราแล้ว แต่นั้น
เราได้ตายในที่นั้น เกิดแล้วในที่นี้ เราจะกล่าวผลบุญที่เราอาศัยพระเถระ
ได้แล้วในบัดนี้แก่พวกมนุษย์ จึงลงมาพร้อมทั้งวิมานทีเดียว. มหาชนเห็น
แต่ไกล แลดูสำคัญอยู่ว่า ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นสองดวงหรือหนอ เมื่อวิมาน
มาอยู่ ลักษณะเรือนยอดก็ปรากฏ. กล่าวกันแล้วว่า นี่มิใช่ดวงอาทิตย์ นั่นเป็น
วิมานหลังหนึ่ง. แม้วิมานนั้น มาแล้วในขณะนั้น ลอยอยู่เหนือเชิงตะกอนไม้
ของพระเถระ. เทพธิดา จึงหยุดวิมานไว้ในอากาศนั่นแล แล้วลงมาสู่เเผ่นดิน.
มหาชนถามแล้วว่า ผู้เป็นเจ้า ท่านเป็นใคร. เราชื่อนางเรวดี บูชาพระเถระ
ด้วยเสาประดับด้วยดอกไม้ทอง 3 ต้น ถูกพวกมนุษย์เหยียบแล้วตายไป เกิดใน.
ดาวดึงส์พิภพ เชิญท่านทั้งหลายดูสิริสมบัติของเรา บัดนี้ ถึงพวกท่านก็จง
ให้ทานทำบุญเถิด.
ครั้นนางกล่าวสรรเสริญการทำกุศล แล้วประทักษิณเชิงตะกอนพระเถระ
แล้ว ได้ไปเทวสถานของตนนั่นเทียว. ฝ่ายมหาชนเล่นอย่างเรียบร้อยอยู่ 7 วัน

แล้ว ได้ทำเชิงตะกอนด้วยของหอมทั้งปวง. เชิงตะกอนประกอบด้วยแก้ว 99
ชนิด. คนทั้งหลาย จึงยกสรีระของพระเถระขึ้นเชิงตะกอนแล้ว เผาด้วย
กำหญ้าแฝก การฟังธรรมย่อมเป็นไปตลอดราตรีทั้งหมดในป่าช้า. พระ-
อนุรุทธเถระจึงเอาน้ำหอมทุกชนิดดับเชิงตะกอนพระเถระ. พระจุนทเถระ
ใส่ธาตุลงในผ้ากรองน้ำแล้ว คิดว่า บัดนี้เราไม่อาจจะเก็บไว้ที่นี้ได้ จักกราบ
ทูลว่า พระสารีบุตรผู้เป็นธรรมเสนาบดี พี่ชายของเราปรินิพพานแล้ว แด่
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ถือเอาผ้ากรองน้ำที่ห่อธาตุและบาตรจีวรพระเถระ
ไปเมืองสาวัตถี. และไม่พักเกิน 2 คืนในที่หนึ่ง ๆ ถึงเมืองสาวัตถีด้วยการอยู่
ที่ละคืนหนึ่งในที่ทั้งปวงนั่นเทียว. เพื่อแสดงเนื้อความนี้ พระผู้ทีพระภาคเจ้า
จึงตรัสคำเป็นต้นว่า ครั้งนั้นแล สามเณรจุนทะ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เยนายสฺมา ท่านพระอานนท์โดย
ทิศใด
ความว่า ท่านได้เข้าไปหาโดยทิศที่ท่านพระอานนท์ ผู้เป็นขุนคลังแห่ง
ธรรมอุปัชฌาย์ของตนอยู่.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระจุนทะนั้นจึงไม่ตรงไปสำนักพระศาสดา
(แต่) ไปสำนักพระเถระเล่า.
ตอบว่า เพราะความเคารพในพระศาสดา และพระเถระ.
ได้ยินว่า พระจุนทเถระนั้น ได้อาบน้ำที่สระโบกขรณีในพระเชตวัน
มหาวิหาร ขึ้นแล้ว นุ่งห่มอย่างดี มีความคิดว่า ขึ้นชื่อว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
หนักเหมือนฉัตรหินใหญ่ และเหมือนงูแผ่พังพาน ราชสีห์ เสือ และช้าง
ตกมันเป็นต้น เข้าใกล้ได้ยาก เราไม่อาจจะตรงไปยังสำนักพระศาสดาทีเดียว
ควรไปสำนักของใครหนอ. ลำดับนั้น จึงคิดว่า อุปัชฌาย์ของเราผู้เป็น
ขุนคลังแห่งพระธรรม เป็นสหายผู้ประเสริฐของพระเถระพี่ชาย เราจะไป

สำนักของท่านพาไปกราบทูลพระศาสดา จึงได้เข้าไปหา เพราะความเคารพ
ในพระศาสดา และพระเถระ.
บทว่า นี้บาตรจีวรของท่าน ความว่า พระเถระกราบทูลแต่ละอย่าง
ดังนี้ว่า นี้บาตรสำหรับใช้สอยของท่าน นี้ผ้ากรองน้ำห่อธาตุของท่าน. แต่ใน
บาลีท่านกล่าวเพียงเท่านี้ว่า นี้บาตรจีวรของท่าน.
คำว่า ถ้อยคำอันดั้งเดิม คือ ถ้อยคำที่เป็นต้นทุน. มูล ท่าน
เรียกว่า ต้นทุน ดุจที่ท่านกล่าวไว้ว่า
ผู้มีปัญญา พิจารณาแล้ว ย่อมตั้งตน
ได้ด้วยต้นทุนแม้น้อย เหมือนคนก่อไฟ
น้อยฉะนั้น.

บทว่า เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ความว่า เพื่อต้องการเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ถามว่า ก็พระจุนทะนี้ ไม่เคยเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าหรือ. ตอบว่า
ไม่เคยเห็นหามิได้ ด้วยว่าท่านผู้นี้ ย่อมไปที่บำรุงนั่นเทียววันละ 18 ครั้ง คือ
กลางวัน 9 ครั้ง กลางคืน 9 ครั้ง แต่ท่านประสงค์จะไปวันละร้อยครั้ง
พันครั้งก็ไปหามิได้ เพราะไม่มีเหตุ ด้วยประการฉะนี้ จึงยกปัญหาหนึ่งเป็น
เหตุแล้วไป. วันนั้น ท่านประสงค์จะไปด้วยถ้อยคำซึ่งเป็นมูลเดิม จึง
กราบทูลอย่างนั้นว่า นี้บาตรจีวรของท่าน. ฝ่ายพระเถระ ก็กราบทูลชี้แจง
เฉพาะอย่างๆ ทีเดียวว่า นี้บาตรจีวรของท่าน และนี้ผ้ากรองน้ำห่อธาตุของท่าน.
พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์ รับเอาผ้ากรองน้ำห่อธาตุ วางไว้
บนฝ่าพระหัตถ์ ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นใด
วันก่อนทำปาฏิหาริย์หลายร้อยอย่าง ขออนุญาตปรินิพพาน บัดนี้ ธาตุทั้งหลาย
เปรียบด้วยสีสังข์เหล่านี้ของเธอปรากฏอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้บำเพ็ญบารมี

มาหนึ่งอสงไขย กำไรแสนกัป ให้ธรรมจักรทำเราให้เป็นไปเป็นไปแล้ว เธอ
เป็นผู้สอนองค์ที่สองที่เราได้เฉพาะ เป็นผู้ให้สาวกสันนิบาตครบ ภิกษุนี้เว้น
เราเสีย หาผู้เสมอด้วยปัญญาในหมื่นจักรวาลไม่ได้ เธอมีปัญญามาก มีปัญญา
หนาแน่น มีปัญญากล่าวให้บันเทิงได้ มีปัญญาแล่นไปเร็ว มีปัญญากล้า
มีปัญญาในการแทงตลอด เธอมีความปรารถนาน้อย สันโดษ สงัด ไม่คลุกคลี
ปรารภความเพียร เป็นผู้ตักเตือน ติเตียนความชั่ว เธอผู้มหาสมบัติที่ได้แล้ว
โดยเฉพาะ บวชแล้วห้าร้อยชาติ มีความอดทนเสมอด้วยแผ่นดินในศาสนา
ของเรา เช่นกับโคอุสภะที่มีเขาขาด มีจิตอ่อนโยน เช่นบุตรคนจัณฑาล ภิกษุ-
ทั้งหลาย พวกเธอจงดูธาตุของผู้มีปัญญามาก มีปัญญาหนาแน่น มีปัญญากว้าง
มีปัญญาแล่นไปเร็ว มีปัญญากล้าแข็ง มีปัญญาแห่งผู้ควรแทงตลอด ผู้มี
ความปรารถนาน้อย สันโดษ สงัด ไม่คลุกคลี ปรารภความเพียร ผู้ตักเตือน
ติเตียนความชั่ว.
สารีบุตรใด ละกามทั้งหลายอันเป็น
ที่รื่นรมย์แห่งใจ บวชแล้วห้าร้อยชาติ
พวกเธอจงไหว้พระสารีบุตรนั้น ผู้
ปราศจากราคะ มีอินทรีย์สำรวมดีแล้ว
ปรินิพพานแล้วเถิด.
สารีบุตรใด มีความอดทนเป็นกำลัง
เสมอด้วยแผ่นดิน ย่อมไม่หวั่นไหว ทั้งไม่
เป็นไปในอำนาจจิต ด้วยมีความอนุเคราะห์
เป็นผู้ประกอบด้วยกรุณา ปรินิพพานแล้ว
พวกเธอจงไหว้สารีบุตรนั้นเถิด.

ลูกคนจัณฑาล เข้าไปพระนครแล้ว
มีใจเจียมตัว ถือกระเบื้องเที่ยวไป ฉันใด
สารีบุตรนี้ก็อยู่ ฉันนั้น พวกเธอจงไหว้
สารีบุตรผู้ปรินิพพานแล้วเถิด.
ก็โคอุสภะตัวมีเขาและหูขาดแล้วไม่
เบียดเบียน เที่ยวไปภายในเมืองฉันใด
สารีบุตรนี้ก็อยู่ฉันนั้น พวกเธอจงไหว้
สารีบุตร ผู้ปรินิพพานแล้วเถิด.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสรรเสริญพระเถระ ด้วยพระคาถาห้าร้อย
ด้วยประการฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสรรเสริญคุณพระเถระ
โดยประการใด ๆ พระเถระก็ไม่อาจจะดำรงอยู่โดยประการนั้น ๆ หวั่นไหว
เหมือนไก่วิ่งไปข้างหน้าแมวฉะนั้น. เพราะเหตุนั้น พระอานนทเถระ จึง
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กายของข้าพระองค์ ย่อมหวั่นไหวปาน
ประหนึ่งจะงอมระงมไป. เรื่องทั้งหมดควรให้พิสดาร.
เนื้อความแห่งบทเป็นต้นว่า ประหนึ่งจะงอมระงมไป ในบทนั้น
ท่านกล่าวไว้แล้วเที่ยว. ก็ธรรม คือ อุทเทศและการสอบถาม ท่านประสงค์
เอาในบทว่า ธรรม นี้. เพราะว่า เมื่อไม่ถือเอาธรรมคืออุทเทศและการ
สอบถาม จิตก็ไม่เป็นไปเพื่อจะถือเอา หรือว่า ครั้นถือเอาแล้ว จิตก็ไม่เป็นไป
เพื่อจะสาธยาย. ลำดับนั้น พระศาสดาทรงลืมพระเนตรที่วิจิตรด้วยประสาท
ทั้ง 5 ขึ้น ทรงแลดูพระเถระ ทรงถอนพระทัยด้วยหวังว่า เราจะให้เธอเบาใจ
จึงตรัสคำเป็นต้นว่า อานนท์ สารีบุตรของเธอไปไหนหนอ.
บรรดาบทเหล่านั้น สีลขนฺธํ กองแห่งศีล ได้แก่ ศีลที่
เป็นโลกิยะและโลกุตระ. แม้ในสมาธิและปัญญาก็นัยนี้แหละ. ส่วนวิมุตติ

เป็นโลกุตระ วิมุตติญาณทัสสนะ ปัจจเวกขณญาณ นั้นเป็นโลกิยะทั้งนั้น.
บทว่า โอวาทโก ผู้สั่งสอน คือผู้ให้โอวาท. ผู้มีปกติกล่าวสั่งสอน โดย
ประการต่าง ๆ ในเรื่องทั้งหลาย ที่หยั่งลงแล้ว ๆ. บทว่า วิญฺญาปโก ให้
รู้แจ้ง ความว่า ให้รู้แจ้งเหตุและผล ตลอดเวลาที่กล่าวธรรม.
บทว่า สนฺทสฺสโก ผู้แสดงพร้อมอยู่ ความว่า ชี้แจงธรรม
เหล่านั้น ๆ ด้วยอำนาจขันธ์ธาตุและอายตนะ. บทว่า สมาทปโก ผู้ชักชวน
ความว่า ให้ถือเอาอย่างนี้ว่า พวกท่านจงถือเอาสิ่งนี้ด้วย ๆ. บทว่า สมุตฺเตช-
โก ให้อาจหาญ
ได้แก่ ให้อุตสาหะขึ้น. บทว่า สมฺปหํสโก ให้รื่นเริง
ได้แก่ให้บรรเทิง คือให้โพลงขึ้นด้วยคุณที่ได้แล้ว. บทว่า อกิลาสุ ธมฺม-
เทสนาย ไม่เกียจคร้านในการแสดงธรรม
ความว่า เมื่อเริ่มการ
แสดงธรรม ก็เป็นผู้เว้น จากการทำย่อหย่อนอย่างนั้นว่า ข้าพเจ้าปวดศีรษะ
ปวดหัวใจ ปวดท้อง หรือปวดหลัง เป็นผู้ไม่เกียจคร้าน คือเป็นผู้
องอาจ แล่นไปอย่างเร็วดุจสีหะ ตัวหนึ่งหรือสองตัว. เนื้อความแห่งบทว่า
อนุคฺคาหโก สพฺรหฺมจารีนํ อนุเคราะห์เพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย ท่าน
ให้พิสดารแล้วในขันธกวรรค. โภคะนั้นเทียว พระเถระกล่าวแล้ว แม้ด้วย
บททั้งสองว่า ธรรมโอชะ ธรรมโภคะ. บทว่า ธมฺมานุคฺคหํ การ
อนุเคราะห์ด้วยธรรม
ได้แก่ การสงเคราะห์ด้วยธรรม. พระศาสดาทรงดำริ
อยู่ว่า ภิกษุย่อมลำบากอย่างยิ่ง เมื่อจะปลอบโยนเธออีก จึงตรัสคำเป็นต้นว่า
อานนท์ ข้อนั้น เราได้บอกเธอไว้แล้วมิใช่หรือ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปิเยหิ มนาเปหิ ของรักของชอบใจ
ความว่า ความเป็นต่าง ๆ กัน โดยชาติ ความเว้นจากกันโดยความตาย (และ)
ความเป็นโดยประการอื่นโดยภพ จากมารดาบิดาพี่น้องชายและพี่น้องหญิงเป็น
ต้นย่อมมี. บทว่า อานนท์ จะพึงได้ในของรักของชอบใจนี้แต่ที่ไหน

ความว่า เพราะเหตุนั้นใด จึงมีความต่าง ๆ กัน จากสิ่งที่เป็นที่รักที่ชอบใจ
เพราะฉะนั้น บุคคลบำเพ็ญบารมี 10 ก็ดี บรรลุสัมโพธิญาณก็ดี ให้ธรรม
จักรเป็นไปก็ดี แสดงยมกปาฏิหาริย์ก็ดี ทำการก้าวลงจากเทวโลกก็ดี ร้องไห้
บ้าง กล่าวอยู่บ้าง ก็ไม่อาจเพื่อจะได้เหตุที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว ถูกปัจจัยปรุง
แต่งแล้ว มีความแตกดับไปเป็นธรรมดานั้น ซึ่งมิใช่ฐานะมีอยู่ด้วยความ
ปรารถนาว่าขอพระสรีระแม้ของพระตถาคตเจ้านั้นอย่าแตกดับไปเลย.
บทว่า โส ปลุชฺเชยฺย ต้นไม้นั้น พึงทำลาย ความว่า ต้นไม้
นั้นพึงแตก. ในคำว่า เอวเมว โข ฉันนั้นเหมือนกันแล มีอธิบายว่า
ภิกษุสงฆ์ เหมือนต้นหว้าใหญ่สูงร้อยโยชน์. พระธรรมเสนาบดี เปรียบเหมือน
ลำต้น ใหญ่ประมาณห้าสิบโยชน์ ทางเบื้องขวาแห่งต้นไม้นั้น. พระเถระ
ปรินิพพานแล้ว เหมือนต้นไม้ใหญ่นั้นหักแล้ว ก็ไม่มีลำต้นอื่นที่สามารถ
เจริญขึ้นโดยลำดับแต่ต้นไม้ที่หักแล้วนั้น อันสามารถเพื่อให้ที่นั้นเต็มด้วยดอก
และผลเป็นต้น. ความไม่มีภิกษุอื่นผู้ถึงที่สุดแห่งปัญญาสิบหกอย่างเช่นกับ
พระสารีบุตร ผู้สามารถที่จะนั่งบนอาสนะข้างขวาแต่ภิกษุสงฆ์นั้น เหมือนต้น
ไม้ในทิศนั้น ส่วนลำต้นพึงทราบว่า เถิดแล้ว. บทว่า ตสฺมา เพราะเหตุ
นั้น
ความว่า เพราะสิ่งที่ปัจจัยทั้งหมดปรุงแต่งแล้ว มีความย่อยยับเป็นธรรมดา
บุคคลไม่อาจเพื่อจะได้ว่า ขอสิ่งนั้นจงอย่าทำลายไปเลย.
จบอรรถกถาจุนทสูตรที่ 3

4. เจลสูตร



ว่าด้วยการมีธรรมเป็นเกาะเป็นที่พึง


[741] สมัยหนึ่ง เมื่อพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ
ปรินิพพานแล้วไม่นาน พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่แทบฝั่งแม่น้ำคงคาใกล้
อุกกเจลนครในแคว้นวัชชี กับพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่. ก็สมัยนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้าอันภิกษุสงฆ์แวดล้อมแล้ว ประทับนั่งที่กลางแจ้ง. ครั้งนั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงชำเลืองดูภิกษุสงฆ์ผู้นิ่งอยู่ แล้วตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดู
ก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บริษัทของเรานี้ปรากฏเหมือนว่างเปล่า เมื่อสารีบุตร
และโมคคัลลานะยังไม่ปรินิพพาน สารีบุตรและโมคคัลลานะอยู่ในทิศใด ทิศ
นั้นของเราย่อมไม่ว่างเปล่า ความไม่ห่วงใยย่อมมีในทิศนั้น.
[742] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้
เหล่าใด ได้มีมาแล้วในอดีตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้เหล่านั้นก็มีคู่สาวกนั้น
เป็นอย่างยิ่งเท่านั้น เหมือนกับสารีบุตรและโมคคัลลานะของเรา. พระอรหันต-
สัมมาสัมพุทธเจ้า แม้เหล่าใด จักมีในอนาคตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้
เหล่านั้นก็จักมีคู่สาวกนั้นเป็นอย่างยิ่งเท่านั้น เหมือนกับสารีบุตรและโมค-
คัลลานะของเรา.
[743] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เป็นความอัศจรรย์ของสาวกทั้งหลาย
เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาของสาวกทั้งหลาย สาวกทั้งหลายจักกระทำตามคำสอน
และกระทำตามโอวาทของพระศาสดา และจักเป็นที่รักเป็นที่ชอบใจ เป็นที่ตั้ง
* พม่าเป็น ปรินิพฺพุเตสุ ปรินิพพานแล้ว. 2. ยุโรปและพม่าเป็น สุญฺญา เม ภิกฺขเว ปริสา
โหติ บริษัทของเราก็ว่างเปล่าไป.