เมนู

อรรถกถาภิกขุนีสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในภิกขุนีสูตรที่ 10
บทว่า เตนุปสงฺกมิ ความว่า พระอานนท์ เข้าไปหาด้วยคิดว่า
เราจักให้พวกภิกษุณีผู้บำเพ็ญกัมมัฏฐานมีอยู่ในสำนักนั้น เกิดความขวนขวาย
แล้ว จักบอกกัมมัฏฐานแก่เธอเหล่านั้น. บทว่า อุฬารํ ปุพฺเพนาปรํ วิเสสํ
ความว่า ย่อมรู้คุณวิเศษอันยิ่งอย่างอื่นจากคุณวิเศษในเบื้องต้น . การกำหนด
มหาภูตรูปในบทนั้น เป็นคุณวิเศษในเบื้องต้น การกำหนดอุปาทายรูป ชื่อว่า
คุณวิเศษในเบื้องปลาย การกำหนดสกลรูป เป็นคุณวิเศษในเบื้องต้นก็อย่าง
นั้น การกำหนดอรูป ชื่อว่า คุณวิเศษในเบื้องปลาย การกำหนดรูปและอรูป
เป็นคุณวิเศษในเบื้องต้น. การกำหนดปัจจัย ชื่อว่า คุณวิเศษในเบื้องปลาย.
การเห็นนามรูปพร้อมทั้งปัจจัย เป็นคุณวิเศษในเบื้องต้น. การยกขึ้นสู่
ไตรลักษณ์ ชื่อว่า คุณวิเศษในเบื้องปลาย อธิบายว่า ย่อมรู้คุณวิเศษอันยิ่ง
เบื้องปลายจากคุณวิเศษในเบื้องต้นอย่างนี้.
บทว่า กายารมฺมโณ ความว่า เธอย่อมพิจารณาเห็นกายใด และ
ความเร่าร้อนเพราะกิเลสย่อมเกิดขึ้น เพราะทำกายนั้นแลให้เป็นอารมณ์.
บทว่า พหิทฺธา วา จิตฺตํ วิกฺขิปติ ความว่า จิตตุปบาทย่อมฟุ้งไปใน
ภายนอก คือในอารมณ์มากบ้าง. บทว่า กิสฺมิญฺเทว ปสาทนีเย นิมิตฺเต
จิตฺตํ ปณิทหิตพฺพํ ความว่า เมื่อความเร่าร้อนเพราะกิเลส ความหดหู่
และความฟุ้งซ่านไปในภายนอก เกิดขึ้นแล้ว ไม่พึงประพฤติไปตามความ
ยินดีของกิเลส คือพึงตั้งจิตไว้ในกัมมัฏฐาน ในนิมิต อันเป็นที่ตั้งแห่งความ
เลื่อมใส คือนำความเลื่อมใสมาให้อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ในฐานะอย่างใด

อย่างหนึ่ง ในบรรดาพระพุทธเจ้าเป็นต้น . บทว่า จิตฺตํ สมาธิยติ ความว่า
จิตรับอารมณ์โดยชอบ ย่อมตั้งมั่นดี. บทว่า ปฏิสํหรามิ ได้แก่ เราจะ
คุมจิต จากฐานะอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส อธิบายว่า เราจะทำจิตนั้น
ให้มุ่งตรงต่อมูลกัมมัฏฐาน. บทว่า โส ปฏิสํหรติ เจว ความว่า เธอ
ส่งจิตมุ่งตรงต่อมูลกัมมัฏฐาน. บทว่า น จ วิตกฺเกติ น จ วิจาเรติ
ความว่า ไม่ตรึกถึงกิเลส ไม่ตรองถึงกิเลส. บทว่า อวิตกฺโกมฺหิ อวิจาโร
ความว่า เราไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร โดยวิตกวิจารในกิเลส. บทว่า อชฺฌตฺตํ
สติมา สุขมสฺมิ
ความว่า เธอย่อมรู้ชัดว่า เรามีสติ และมีความสุขดังนี้
ด้วยสติที่ดำเนินไปในภายในอารมณ์.
บทว่า เอวํ โข อานนฺท ปณิธาย ภาวนา โหติ ความว่า
อานนท์ ภาวนามีก็เพราะตั้งจิตไว้อย่างนั้น. ก็ภาวนาของภิกษุนี้ ผู้ถือเอา
กัมมัฏฐานไปเพื่อบรรลุพระอรหัต เมื่อความเร่าร้อนในกายเป็นต้น เกิดขึ้นแล้ว
พักกัมมัฏฐานนั้นไว้ ยังจิตให้เลื่อมใส ด้วยการระลึกในพระพุทธคุณเป็นต้น
ทำให้เป็นที่ตั้งแห่งการงาน ดำเนินไปแล้ว เหมือนการเดินไปของตนแบกอ้อย
หนักมาก ไปยังโรงหีบอ้อย ในเวลาเหนื่อยแล้วและเหนื่อยแล้ว วางลงบน
แผ่นดิน เคี้ยวกินท่อนอ้อยแล้ว ก็แบกไปอีกฉะนั้น. เพราะฉะนั้น พระองค์
จึงตรัสว่า ภาวนามีเพราะตั้งใจไว้. พึงทราบการเสวยสุขในผลสมาบัติของ
ภิกษุนี้ ผู้บำเพ็ญกัมมัฏฐานถึงที่สุดแล้ว ได้บรรลุพระอรหัต เหมือนคนนั้น
นำอ้อยหนักนั้นไปยังโรงหีบอ้อย บีบอ้อยเสร็จแล้ว ดื่มรสฉะนั้น.
บทว่า พหิทฺธา ความว่า ละมูลกัมมัฏฐานไปในอารมณ์อื่นภายนอก
บทว่า อปฺปณิธาย แปลว่า มิได้ตั้งจิตไว้. ในบทว่า อถ ปจฺฉา ปุเร
อสฺขิตฺตํ วิมุตฺตํ อปฺปณิหิตนฺติ ปชานาติ
นี้ พึงทราบความหมาย
ด้วยอำนาจกัมมัฏฐานบ้าง ด้วยอำนาจสรีระบ้าง ด้วยอำนาจเทศนาบ้าง.

ในบทเหล่านั้นพึงทราบให้กัมมัฏฐานก่อนความเชื่อมั่นต่อกัมมัฏฐาน
ชื่อว่า ข้างหน้า พระอรหัต ชื่อว่า ข้างหลัง. ในธรรมเหล่านั้น ภิกษุรูปใด
ถือเอามูลกัมมัฏฐาน ไม่ปล่อยโอกาสให้ควานเร่าร้อนในกิเลส ความหดหู่
หรือความฟุ้งซ่านไปในภายนอก เกิดขึ้นได้ เมื่อเริ่มวิปัสสนา มีจิตมั่น ไม่ติด
ย่อมบรรลุพระอรหัต เหมือนเทียมโคที่ฝึกดีให้แล่นไป และเหมือนใส่ลิ่ม
สีเหลี่ยมที่ถากไว้ในช่องสี่เหลี่ยม. ภิกษุรูปนั้นชื่อว่า ย่อมรู้ชัดว่า จิตไม่ฟุ้งซ่าน
ไปข้างหลังและข้างหน้า พ้นแล้ว มิได้ตั้งอยู่ ด้วยอำนาจความเชื่อมั่นใน
กัมมัฏฐาน กล่าวคือข้างหน้า และพระอรหัตกล่าวคือข้างหลัง
ส่วนในสรีระ ข้อ ปลายนิ้วเท้า ชื่อว่า ข้างหน้า กระโหลกศีรษะ
ชื่อว่า ข้างหลัง. ในสองอย่างเหล่านั้น ภิกษุรูปใด มุ่งมั่นในกระดูกข้อ
ปลายนิ้วเท้า เมื่อกำหนดกระดูกด้วยอำนาจการกำหนดสี สัณฐาน ทิศ โอกาส
เหมือนฟาดฟ่อนข้าวเหนียว ห้ามความเกิดแห่งความเร่าร้อน เพราะกิเลส
ในระหว่างเป็นต้น บำเพ็ญภาวนาไปจนถึงกระโหลกศีรษะ. ภิกษุรูปนั้น
ชื่อว่า ย่อมรู้ชัดว่า จิตของเราไม่ฟุ้งซ่านไปข้างหลังและข้างหน้า พ้นแล้ว
มิได้ตั้งอยู่ ด้วยอำนาจแห่งข้อนิ้วปลายเท้า กล่าวคือข้างหน้า และแห่งกระโหลก
ศีรษะ กล่าวคือข้างหลัง.
แม้ในเทศนา ผมทั้งหลายชื่อว่า ข้างหน้าด้วยการแสดงอาการ 32
มัตถลุงคัง (มันสมอง) ชื่อว่า ข้างหลัง. ในสองอย่างเหล่านั้น ภิกษุรูปใด
มุ่งมั่นในผม กำหนดจับผมเป็นต้น ด้วยอำนาจ สี สัณฐาน ทิศ โอกาส
ห้ามความเกิดแห่งความเร่าร้อนในกิเลสในระหว่าง บำเพ็ญภาวนาไปจนถึง
มันสมอง. ภิกษุรูปนั้น ชื่อว่า ย่อมรู้ชัดว่า จิตของเราไม่ฟุ้งซ่านไปข้างหลัง
และข้างหน้า พ้นแล้ว มิได้ตั้งอยู่ ด้วยอำนาจผมกล่าวคือข้างหน้า และแห่ง
มันสมอง กล่าวคือข้างหลัง.

บทว่า เอวํ โข อานนฺท อปฺปณิธาย ภาวนา โหติ ความว่า
ดูก่อนอานนท์ ภาวนาย่อมมี เพราะมิได้ตั้งจิตไว้อย่างนี้ ก็กัมมัฏฐานภาวนา
ของภิกษุนี้ ย่อมเป็นไป เพราะห้ามความเกิดขึ้นแห่งความเร่าร้อนทางกาย
เป็นต้น แห่งการเริ่มภาวนา เพื่อบรรลุพระอรหัต เหมือนคนได้น้ำอ้อย
งบหนัก เมื่อนำไปยังเรือนของตน ไม่พักในระหว่าง เคี้ยวกินก่อนน้ำอ้อยงบ
เป็นต้น ที่ใส่ไว้ในพก ย่อมหยั่งเข้าไปบ้านของตน ฉะนั้น เพราะฉะนั้น
พระองค์จึงตรัสว่า ภาวนาย่อมมีเพราะมิได้ตั้งจิตไว้. พึงทราบการเสวยความสุข
ในผลสมาบัติ ของภิกษุนี้ ผู้บำเพ็ญกัมมัฏฐานถึงที่สุดแล้ว บรรลุพระอรหัต
เหมือนคนนั้นนำน้ำอ้อยงบหนักไปยังบ้านของตนแล้ว บริโภคพร้อมด้วยพวก
ญาติ ฉะนั้น. ในพระสูตรนี้ ตรัสบุพภาควิปัสสนา คำที่เหลือในบททั้งปวง
ง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาภิกขุนีสูตรที่ 10
จบอรรถกถาอัมพปาลิวรรคที่ 1

รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ


1. อัมพปาลิสูตร 2. สติสูตร 3. ภิกขุสูตร 8. โกสลสูตร
5. อกุสลราสิสูตร 6. สกุณัคฆีสูตร 7. มักกฎสูตร 8. สูทสูตร 9.
คิลานสูตร 10. ภิกขุนีสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา.