เมนู

5. สคารวสูตร



นิวรณ์เป็นเหตุให้มนต์ไม่แจ่มแจ้ง


[601] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น พราหมณ์ชื่อว่าสคารวะ เข้าไป
เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
[602] ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้
มนต์แม้ที่บุคคลกระทำการสาธยายไว้นาน ไม่แจ่มแจ้งในบางคราว ไม่ต้อง
กล่าวถึงมนต์ที่มิได้กระทำการ. สาธยายะ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอเป็น
เหตุ เป็นปัจจัย ให้มนต์แม้ที่มิได้กระทำการสาธยายเป็นเวลานาน ก็ยังแจ่มแจ้ง
ในบางคราว ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่กระทำการสาธยาย
[603] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนพราหมณ์ สมัยใด
แล บุคคลมีใจฟุ้งซ่านด้วยกามราคะ อันกามราคะเหนี่ยวรั้งไป และไม่รู้ไม่
เห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออกซึ่งกามราคะที่บังเกิดขึ้นแล้ว ตามความเป็นจริง
สมัยนั้น เขาไม่รู้ไม่เห็นแม้ซึ่งประโยชน์คนตามความเป็นจริง แม้ซึ่งประโยชน์
บุคคลอื่นตามความเป็นจริง แม้ซึ่งประโยชน์ทั้งสองอย่างตามความเป็นจริง
มนต์แม้ที่กระทำการสาธยายไว้นาน ก็ไม่แจ่มแจ้งได้ ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่
มิได้กระทำการสาธยาย.
[604] ดูก่อนพราหมณ์ เปรียบเหมือนภาชนะใส่น้ำ ซึ่งระคนด้วย
สีครั่ง สีเหลือง สีเชียว สีแดงอ่อน บุรุษผู้มีจักษุ เมื่อมองดูเงาหน้าของตน
ในน้ำนั้น ไม่พึงรู้ ไม่พึงเห็นตามความเป็นจริงได้ ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน

สมัยใด บุคคลมีใจฟุ้งซ่านด้วยกามราคะ อันกามราคะเหนี่ยวรั้งไป และไม่รู้
ไม่เห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออกซึ่งกามราคะที่บังเกิดขึ้นแล้วตามความเป็น
จริง ในสมัยนั้น เขาย่อมไม่รู้ ไม่เห็นแม้ซึ่งประโยชน์ตนตามความเป็นจริง
แม้ซึ่งประโยชน์บุคคลอื่นตามความเป็นจริง แม้ซึ่งประโยชน์ทั้งสองนั้นตาม
ความเป็นจริง มนต์แม้ที่กระทำการสาธยายไว้นาน ก็ไม่แจ่มแจ้งได้ ไม่ต้อง
กล่าวถึงมนต์ที่มิได้กระทำการสาธยาย.
[605] ดูก่อนพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจฟุ้งซ่าน
ด้วยพยาบาท อันพยาบาทเหนี่ยวรั้งไป และย่อมไม่รู้ ไม่เห็นอุบายเป็นเครื่อง
สลัดออกซึ่งพยาบาทที่บังเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง . . .
[606] ดูก่อนพราหมณ์ เปรียบเหมือนภาชนะใส่น้ำ ซึ่งร้อนเพราะ
ไฟเดือดพล่าน มีไอพลุ่งขึ้น บุรุษผู้มีจักษุ เมื่อมองดูเงาหน้าของตนในน้ำนั้น
ไม่พึงรู้ไม่พึงเห็นตามความเป็นจริง ฉันใดฉันนั้นเหมือนกัน สมัยใด บุคคล
มีใจฟุ้งซ่านด้วยพยาบาท อันพยาบาทเหนี่ยวรั้งไป และย่อมไม่รู้ ไม่เห็นอุบาย
เป็นเครื่องสลัดออกซึ่งพยาบาทที่บังเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง . .
[607] ดูก่อนพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจ
ฟุ้งซ่านด้วยถีนมิทธะ อันถีนมิทธะเหนี่ยวรั้งไป ย่อมไม่รู้ ไม่เห็นอุบายเป็น
เครื่องสลัดออกซึ่งถีนมิทธะที่บังเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง. . .
[608] ดูก่อนพราหมณ์ เปรียบเหมือนภาชนะใส่น้ำ อันสาหร่าย
และจอกแหนปกคลุมไว้ บุรุษผู้มีจักษุ เมื่อมองดูเงาหน้าของตนในน้ำนั้น
ไม่พึงรู้ ไม่พึงเห็นตามความเป็นจริง ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน สมัยใด
บุคคลมีใจฟุ้งซ่านด้วยถีนมินธะ อันถีนมินธะเหนี่ยวรั้งไว้ และย่อมไม่รู้ ไม่
เห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออกซึ่งถีนมิทธะที่บังเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง . . .

[609] ดูก่อนพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจ
ฟุ้งซ่านด้วยอุทธัจกุกกุจจะ อันอุทธัจจกุกกุจจะเหนี่ยวรั้งไป และย่อมไม่รู้
ไม่เห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออกซึ่งอุทธจัจกุกกุจจะที่บังเกิดขึ้นแล้วตามความ
เป็นจริง.
[610] ดูก่อนพราหมณ์ เปรียบเหมือนภาชนะใส่น้ำ อันลมพัดต้อง
แล้วหวั่นไหว กระเพื่อม เกิดเป็นคลื่น บุรุษผู้มีจักษุ เมื่อมองดูเงาหน้าของ
ตนในน้ำนั้น ไม่พึงรู้ ไม่พึงเห็นตามความเป็นจริง ฉันใด ฉันนั้นเหมือน
กัน สมัยใด บุคคลมีใจฟุ้งซ่านด้วยอุทธัจจกุกกุจจะ อันอุทธัจจกุกกุจจะ
เหนี่ยวรั้งไป และย่อมไม่รู้ ไม่เห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออกซึ่งอุทธัจจ-
กุกกุจจะที่บังเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง . . .
[611] ดูก่อนพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง ในสมัยใด บุคคลมีใจ
ฟุ้งซ่านด้วยยวิจิกิจฉา อันวิจิกิจฉาเหนี่ยวรั้งไป และไม่รู้ ไม่เห็นอุบายเป็น
เครื่องสลัดออกซึ่งวิจิกิจฉาที่บังเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริงสมัยนั้น เขาย่อม
ไม่รู้ ไม่เห็นแม้ซึ่งประโยชน์ตนตามความเป็นจริง แม้ซึ่งประโยชน์บุคคลอื่น
ตามความเป็นจริง แม้ซึ่งประโยชน์ทั้งสองอย่างตามความเป็นจริง มนต์แม้ที่
กระทำการสาธยายไว้นาน ก็ไม่แจ่มแจ้งได้ ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่มิได้กระทำ
การสาธยาย.
[612] ดูก่อนพราหมณ์ เปรียบเหมือนภาชนะใส่น้ำที่ขุ่นมัวเป็น
เปือกตมอันบุคคลวางไว้ในที่มืด บุรุษผู้มีจักษุ เมือมองดูเงาหน้าา้ของตนใน
น้ำนั้น ไม่พึงรู้ไม่พึงเห็นตามความเป็นจริง ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน สมัยใด
บุคคลมีใจฟุ้งซ่านด้วยยวิจิกิจฉา อันวิจิกิจฉาเหนี่ยวแรงไป และย่อมไม่รู้ ไม่
เห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออกซึ่งวิจิกิจฉาที่บังเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง
สมัยนั้น เขาย่อมไม่รู้ไม่เห็นแม้ซึ่งประโยชน์ตนตามความเป็นจริง แม้ซึ่ง

ประโยชน์บุคคลอื่นตามความเป็นจริง แม้ซึ่งประโยชน์ทั้งสองอย่างตามความ
เป็นจริง มนต์ที่กระทำการสาธยายไว้นาน ก็ไม่แจ่มแจ้งได้ ไม่ต้องกล่าวถึง
มนต์ที่มิได้กระทำการสาธยาย
[613] ดูก่อนพราหมณ์ นี้แลเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้มนต์แม้ที่
กระทำการสาธยายไว้นาน ไม่แจ่มแจ้งในบางคราว ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่
มิได้กระทำการสาธยาย.
[614] ดูก่อนพราหมณ์ ส่วนสมัยใด บุคคลมีใจไม่ฟุ้งซ่านด้วย
กามราคะ ไม่ถูกกามราคะเหนี่ยวรั้งไป และย่อมรู้ ย่อมเห็นอุบายเป็นเครื่อง
สลัดออกซึ่งกามราคะที่บังเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง สมัยนั้น เขาย่อมรู้
ย่อมเห็นแม้ซึ่งประโยชน์ตนตามความเป็นจริง แม้ซึ่งประโยชน์บุคคลอื่นตาม
ความเป็นจริง แม้ซึ่งประโยชน์ทั้งสองอย่างตามความเป็นจริง มนต์แม้ที่มิได้
กระทำการสาธยายเป็นเวลานาน ย่อมแจ่มแจ้งได้ ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่
กระทำการสาธยาย.
[615] ดูก่อนพราหมณ์ เปรียบเหมือนภาชนะใส่น้ำอันไม่ระคนด้วย
สีครั่ง สีเหลือง สีเขียว หรือสีแดงอ่อน บุรุษผู้มีจักษุ เมื่อมองดูเงาหน้า
ของตนในน้ำนั้น พึงรู้ พึงเห็นตามความเป็นจริง ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน
สมัยใด บุคคลมีใจไม่ฟุ้งซ่านด้วยกามราคะ ไม่ถูกกามราคะเหนี่ยวรั้งไป และ
ย่อมรู้ ย่อมเห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออกซึ่งกามราคะที่บังเกิดขึ้นแล้วตามความ
เป็นจริง ฯลฯ
[616] ดูก่อนพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจไม่
ฟุ้งซ่าน ด้วยพยาบาท ไม่ถูกพยาบาทเหนี่ยวรั้งไป และย่อมรู้ ย่อมเห็นอุบาย
เป็นเครื่องสลัดออกซึ่งพยาบาทที่บังเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง ฯลฯ

[617] ดูก่อนพราหมณ์ เปรียบเหมือนภาชนะใส่น้ำที่ไม่ร้อน
เพราะไฟ ไม่เดือดพล่าน ไม่เกิดไอ บุรุษผู้มีจักษุ เมื่อมองดูเงาหน้าของตน
ในน้ำนั้น พึงรู้ พึงเห็นตามความเป็นจริงได้ ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน
สมัยใด บุคคลมีใจไม่ฟุ้งซ่านด้วยพยาบาท ไม่ถูกพยาบาทเหนี่ยวรั้งไป และ
ย่อมรู้ ย่อมเห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออกซึ่งพยาบาทที่บังเกิดขึ้นแล้วตามความ
เป็นจริง ฯลฯ
[618] ดูก่อนพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจไม่
ฟุ้งซ่านด้วยถีนมิทธะ ไม่ถูกถีนมิทธะเหนี่ยวรั้งไป และย่อมรู้ ย่อมเห็นอุบาย
เป็นเครื่องสลัดออกซึ่งถีนมิทธะที่บังเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง ฯลฯ
[619] ดูก่อนพราหมณ์ เปรียบเหมือนภาชนะใส่น้ำอันสาหร่ายและ
จอกแหนไม่ปกคลุมไว้ บุรุษผู้มีจักษุ เมือมองดูเงาหน้าของตนในน้ำนั้น พึงรู้
พึงเห็นตามความเป็นจริงได้ ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน สมัยใด บุคคลมีใจ
ไม่ฟุ้งซ่านด้วยถีนมิทธะ ไม่ถูกถีนมิทธะเหนี่ยวรั้งไป และย่อมรู้ ย่อมเห็น
อุบายเป็นเครื่องสลัดออกซึ่งถีนมิทธะที่บังเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง ฯลฯ
[620] ดูก่อนพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจไม่
ฟุ้งซ่านด้วยอุทธัจจกุกกุจจะ ไม่ถูกอุทธัจจกุกกุจจะเหนี่ยวรั้งไป และย่อมรู้
ย่อมเห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออกซึ่งอุทธัจจกุกกุจจะที่บังเกิดขึ้นแล้วตามความ
เป็นจริง ฯลฯ
[621] ดูก่อนพราหมณ์ เปรียบเหมือนภาชนะใส่น้ำอันลมไม่พัด
ต้องแล้ว ไม่หวั่นไหว ไม่กระเพื่อม ไม่เกิดเป็นคลื่น บุรุษผู้มีจักษุ เมื่อ
มองดูเงาหน้าของตนในน้ำนั้น พึงรู้ พึงเห็นตามความเป็นจริงได้ ฉันใด
ฉันนั้นเหมือนกัน สมัยใด บุคคลมีใจไม่ฟุ้งซ่านด้วยอุทธัจจกุกกุจจะ ไม่ถูก
อุทธัจจกุกกุวสจะเหนี่ยวรั้งไป และย่อมรู้ย่อมเห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออกซึ่ง
อุทธัจจกุกกุจจะที่บังเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง ฯลฯ

[622] ดูก่อนพราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมัยใด บุคคลมีใจไม่
ฟุ้งซ่านด้วยวิจิกิจฉา ไม่ถูกวิจิกิจฉาเหนี่ยวรั้งไป และย่อมรู้ ย่อมเห็นอุบาย
เป็นเครี่องสลัดออกซึ่งวิจิกิจฉาที่บังเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง ฯลฯ
[623] ดูก่อนพราหมณ์ เปรียบเหมือนภาชนะใส่น้ำอันใสสะอาด
ไม่ขุ่นมัว อันบุคคลวางไว้ในที่แจ้ง บุรุษผู้มีจักษุ เมื่อมองดูเงาหน้าของตน
ในน้ำนั้น พึงรู้ พึงเห็นตามความเป็นจริงได้ ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน
สมัยใด บุคคลมีใจไม่ฟุ้งซ่านด้วยวิจิกิจฉา ไม่ถูกวิจิกิจฉาเหนี่ยวรั้งไป และ
ย่อมรู้ ย่อมเห็นอุบายเป็นเครื่องสลัดออกซึ่งวิจิกิจฉาที่บังเกิดขึ้นและตามความ
เป็นจริง สมัยนั้น เขาย่อมรู้ ย่อมเห็นแม้ซึ่งประโยชน์ตนตามความเป็นจริง
แม้ซึ่งประโยชน์บุคคลอื่นตามความเป็นจริง แม้ซึ่งประโยชน์ทั้งสองอย่างตาม
ความเป็นจริง มนต์แม้ที่มิได้กระทำการสาธยายเป็นเวลานาน ย่อมแจ่มแจ้งได้
ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่กระทำการสาธยาย.
[624] ดูก่อนพราหมณ์ นี้แลเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้มนต์แม้ที่
มิได้กระทำการสาธยายเป็นเวลานาน ก็ยังแจ่มแจ้งได้ในบางคราว ไม่ต้อง
กล่าวถึงมนต์ที่กระทำการสาธยาย.
[625] ดูก่อนพราหมณ์ โพชฌงค์แม้ทั้ง 7 นี้ มิใช่เป็นธรรมกั้น
มิใช่เป็นธรรมห้าม ไม่เป็นอุปกิเลสของใจ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้
มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งผล คือ วิชชาและวิมุตติ. โพชฌงค์
7 เป็นไฉน. คือสติสัมโพชฌงค์ ฯลฯ อุเบกขาสัมโพชฌงค์. ดูก่อนพราหมณ์
โพชฌงค์ 7 นี้แล มิใช่เป็นธรรมกั้น มิใช่เป็นธรรมห้าม ไม่เป็นอุปกิเลส
ของใจ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อกระทำให้
แจ้งซึ่งผล คือ วิชชาและวิมุตติ.

[626] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนั้นแล้ว สคารวพราหมณ์
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคคมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์
ไพเราะยิ่งนัก ฯลฯ ขอพระโคดมผู้เจริญโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก
ผู้ถึงสรณะจนตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.
จบสคารวสูตรที่ 5

อรรถกถาสคารวสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในสคารวสูตรที่ 5.
บทว่า ปเคว แปลว่า ก่อนทีเดียว. บทว่า กามราคปริยุฏฺฐิเตน
ได้แก่ อันกามราคะเหนี่ยวไว้. บทว่า กามราคปเรเตน ได้แก่ ไปตาม
กามราคะ. บทว่า นิสฺสรณํ ความว่า อุบายเครี่องสลัดออกซึ่งกามราคะ
มี 3 อย่างคือ วิกขัมภนนิสสรณะ สลัดออกด้วยการข่มไว้ ตทังคนิสสรณะ
สลัดออกชั่วคราว สมุจเฉทนิสสรณะ สลัดออกได้เด็ดขาด. ในอุบายเครื่อง
สลัดออก 3 อย่างนั้น ปฐมฌานในอสุภะ ชื่อว่า สลัดออกด้วยการข่มไว้.
วิปัสสนา ชื่อว่า สลัดออกได้ชั่วคราว อรหัตมรรค ชื่อว่า สลัดออกได้
เด็ดขาด. อธิบายว่า เขาย่อมไม่รู้อุบายเครื่องสลัดออกแม้สามอย่างนั้น. ใน
บทว่า อตฺตตฺถมฺปีติ เป็นต้น ประโยชน์คนกล่าวคืออรหัต ชื่อว่า ประโยชน์
ของตน. ประโยชน์ของผู้ถวายปัจจัยทั้งหลาย ชื่อว่า ประโยชน์ของคนอื่น.
ประโยชน์แม้สองอย่างนั้นแล ชื่อว่า ประโยชน์ทั้งสอง ในวาระทั้งปวง
พึงทราบเนื้อความโดยนัยนี้.