เมนู

อรรถกถาปริยายสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในปริยายสูตรที่ 2.
บทว่า สมฺพหุลา ความว่าชน 3 คน ท่านเรียกว่า มากหลาย โดยปริยาย
ในวินัย. มากกว่า 3 คนนั้น เรียกว่า สงฆ์. 3 คน เรียกว่า 3 คนเหมือนกัน
โดยปริยายแห่งพระสูตร แต่ 3 คนขึ้นไป เรียกว่า มากหลาย. ในที่นี้
พึงทราบว่า มากหลาย โดยปริยายแห่งพระสูตร. บทว่า ปิณฺฑาย ปวิสึสุ
ได้แก่ เข้าไปเพื่อบิณฑบาต. ก็ภิกษุเหล่านั้นยังไม่เข้าไปก่อน แต่เรียกว่า
เข้าไปแล้ว เพราะออกไปด้วยคิดว่า จักเข้าไป. ถามว่า เหมือนอะไร. ตอบว่า
เหมือนคนออกไปด้วยคิดว่า จักไปบ้าน แม้ยังไม่ทันถึงบ้านนั้น เมื่อถูกเขา
ถามว่า คนชื่อนี้ ไปไหน. เขาจะตอบว่า ไปบ้านแล้ว ฉันใด ก็ฉันนั้น.
บทว่า ปริพฺพาชกานํ อาราโม นั้น ท่านกล่าวหมายถึงอารามของพวก
อัญญเดียรถีย์ปริพาชกมีอยู่ในที่ไม่ไกลพระเชตวัน. บทว่า สมโณ อาวุโส
ความว่า ดูก่อนผู้มีอายุ พระสมณโคดมเป็นครูของท่านทั้งหลาย.
บทว่า มยํปิ โข อาวุโส สาวกานํ เอวํ ธมฺมํ เทเสม
ความว่า ในลัทธิของพวกเดียรถีย์ ไม่มีคำนี้ว่า นิวรณ์ 5 พวกเธอพึงละ
โพชฌงค์ 7 พวกเธอพึงเจริญ ส่วนพวกเดียรถีย์เหล่านั้น ไปยังอารามยืนอยู่
ท้ายบริษัท ฟังธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นเหมือนมองดูสิ่งอื่น
เหมือนส่งใจไปในที่อื่น. แต่นั้น ก็กำหนดว่า สมณโคดมจะกล่าวว่า พวกท่าน
จงละสิ่งนี้ จงเจริญสิ่งนี้เถิด แล้วจึงไปยังอารามของตนให้จัดอาสนะไว้ท่ามกลาง
อาราม อันอุปัฏฐากชายหญิงห้อมล้อมยกศีรษะน้อมกายเข้าไป เมื่อแสดงอาการ

แทงตลอดโดยสยัมภูญาณของตน จึงกล่าวว่า คนควรละนิวรณ์ 5 ควรเจริญ
โพชฌงค์ 7 ดังนี้.
ในบทว่า อิธ โน อาวุโส โก วิเสโส นี้ บทว่า อิธ แปลว่า
ในบัญญัตินี้. บทว่า โก วิเสโส คือ อะไรยิ่งกว่ากัน. บทว่า โก อธิปฺปายโส
คืออะไรเป็นความเพียรเป็นเครื่องประกอบอันยิ่ง. บทว่า กึ นานากรณํ คืออะไร
เป็นความต่างกัน. บทว่า ธมฺเทสนาย วา ธมฺมเทสนํ ความว่า พวกอัญญ
เดียรถีย์กล่าวข้อที่พวกเขาพึงปรารภธรรมเทศนาของพวกเรา กับธรรมเทศนา
ของพระสมณโคดม หรือธรรมเทศนาของพระสมณโคดมกับธรรมเทศนา
ของพวกเราเรียกว่า การทำให้ต่างกัน นั้นชื่ออะไร. แม้ในบทที่สองก็นัยนี้
เหมือนกัน. บทว่า เนว อภินนฺทึสุ ได้แก่ พวกภิกษุไม่ยอมรับว่า อย่างนี้
อย่างนี้. บทว่า นปฺปฎิกฺโกสึสุ ได้แก่ ไม่คัดค้านว่า สิ่งนี้ไม่เป็นอย่างนี้.
ถามว่า ก็พวกภิกษุเหล่านั้นเมื่อได้ทำอย่างนี้พอหรือ หรือว่าไม่พอ. ตอบว่า พอ.
ภิกษุเหล่านั้น ย่อมไม่สามารถกล่าวคำประมาณท่านได้ว่า ดูก่อนผู้มีอายุ ใน
ลัทธิของท่านทั้งหลาย ไม่มีนิวรณ์ 5 จะต้องละ ไม่มีโพชฌงค์ 7 จะต้องเจริญ
ดังนี้. แต่ภิกษุเหล่านั้น ได้มีความดำริอย่างนี้ว่า ข้อที่เขานำมากล่าวนั้นไม่มี
พวกเราทูลข้อนั้นแด่พระศาสดา เมื่อเป็นเช่นนั้น พระศาสดาจักแสดงพระธรรม
เทศนาอันไพเราะแก่พวกเรา ดังนี้. บทว่า ปริยาโย แปลว่า เหตุ.
บทว่า น เจว สมฺปายิสฺสนฺติ ความว่า พวกอัญญเดียรถีย์
จักไม่อาจกล่าวแก้ได้เลย. บทว่า อุตฺตริญฺจ วิฆาตํ ความว่า จักถึง
ความทุกข์ แม้เป็นอย่างยิ่ง เพราะแก้ไม่ได้. ความจริง ทุกข์ย่อมเกิดขึ้นแก่
พวกเขา ผู้ไม่สามารถเพื่อจะกล่าวแก้ได้. บทว่า ตํ ในบทว่า ยถา ตํ
ภิกฺขเว อวิสยสฺมึ นี้เป็นเพียงนิบาต. บทว่า ยถา แปลว่า คำเป็นเหตุ
อธิบายว่า เพราะปัญหาที่ถูกถามในฐานะมิใช่วิสัย. บทว่า สเทวเก ได้แก่

ในโลกพร้อมด้วยเทวโลกกับด้วยเทพดาทั้งหลาย. แม้ในบทว่า สมารกะ
เป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ท่านแสดงว่า เรายังไม่แลเห็นเทวดาหรือมนุษย์
นั้นในโลก อันพร้อมด้วยเทวโลกเป็นต้นที่ต่างกันนั้น หมายถึงสัตว์โลก
แม้โดยฐานะ 5 คือหมู่สัตว์ 2 เพิ่มฐานะ 3 ในโลกด้วยอาการอย่างนี้. บทว่า
อิโต วา ปน สุตฺวา ได้แก่ หรือฟังจากศาสนานี้ของเรา. ท่านแสดงว่า
ด้วยว่า พระตถาคตก็ดี สาวกของพระตถาคตก็ดี ฟังด้วยอาการอย่างนั้น
พึงให้ยินดีคือให้พอใจได้. ชื่อว่า ความยินดี จะไม่มีโดยประการอื่น.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงพระทัยยินดีด้วยการแก้
ปัญหาเหล่านั้นของพระองค์ จึงตรัสคำว่า กตโม จ ภิกฺขเว ปริยาโย
ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อชฺฌตฺตํ กามจฺฉนฺโท ได้แก่ ฉันทราคะ
เกิดขึ้น เพราะปรารภเบญจขันธ์ของตน. บทว่า พหิทธา กามจฺฉนฺโท
ได้แก่ ฉันทราคะเกิดขึ้นเพราะปรารภเบญจขันธ์ของพวกคนเหล่าอื่น. บทว่า
อุทฺเทสํ คจฺฉติ คือย่อมถึงการนับ. บทว่า อชฺฌตฺตํ พฺยาปาโท ได้แก่
ปฎิฆะอันเกิดขึ้นในเพราะอวัยวะมีมือและเท้าเป็นต้นของตน. บทว่า พหิทฺธา
พฺยาปาโท
ได้แก่ ปฏิฆะอันเกิดขึ้นในเพราะมือและเท้าเหล่านั้นของคนอื่น.
บทว่า อชฺฌตฺตํ ธมฺเมสุ วิจิกิจฺฉา ได้แก่ ความสงสัยในขันธ์ของตน.
บทว่า พหิทฺธา ธมฺเมสุ วิจิกิจฺฉา ได้แก่ ความสงสัยมากในฐานะ 8
ในภายนอก. บทว่า อชฺฌตฺตํ ธมฺเมสุ สติ ความว่า เมื่อกำหนดสังขาร
ทั้งหลายในภายใน สติก็เกิดขึ้น. บทว่า พหิทฺธา ธมฺเมสุ สติ ความว่า
เมื่อกำหนดสังขารทั้งหลายในภายนอก สติก็เกิดขึ้น. แม้ในธัมมวิจย-
สัมโพชฌงค์ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า กายิกํ ได้แก่ ความเพียรเกิดขึ้น
แก่ผู้อธิฐานจงกรมอยู่. บทว่า เจตสิกํ ความว่า ความเพียรอันเกิดขึ้น

เว้น ความเพียรทางกายอย่างนี้ว่า เราจักไม่ทำลายบัลลังก์นี้ จนกว่าจิตของเรา
จักพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ยึดมั่น. บทว่า กายปสฺสทฺธิ ได้แก่
ความสงบความกระวนกระวายแห่งขันธ์สาม. บทว่า จิตฺตปสฺสทฺธิ ได้แก่
ความสงบความกระวนกระวายแห่งวิญญาณขันธ์. ในอุเบกขาสัมโพชฌงค์
มีวินิจฉัยเช่นเดียวกับสติสัมโพชฌงค์แล. ในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสโพชฌงค์คลุกเคล้ากันไป. โพชฌงค์เหล่านั้นคือ สติ วิจยะ และอุเบกขา
ในธรรมในภายในเหล่านั้น ชื่อว่า โลกิยะ เพราะมีขันธ์ของตนเป็นอารมณ์
ความเพียรทางกายยิ่งไม่ถึงมรรคก็อย่างนั้น. ก็เพราะไม่มีวิตกและวิจาร ปีติ
และสมาธิ เป็นรูปาวจร แม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น ในรูปาวจร จะไม่ได้โพชฌงค์
ดังนั้น ก็เป็นโลกุตระอยู่นั่นเอง. พระเถระเหล่าใดย่อมยกสัมโพชฌงค์ขึ้น
แสดงในพรหมวิหารและในฌานที่เป็นบาทของวิปัสสนาเป็นต้น ตามมติของ
พระเถระเหล่านั้น โพชฌงค์ก็เป็นรูปาวจรบ้าง อรูปาวจรบ้าง. ก็ในโพชฌงค์
ปีติเท่านั้น ไม่ได้ในอรูปาวจรโดยส่วนเดียว. โพชฌงค์ที่เหลือ 6 ประการ
เป็นมิสสกะคลุกเคล้ากันด้วยประการฉะนี้.
ในที่สุดแห่งเทศนา ภิกษุบางพวกเป็นโสดาบัน บางพวกเป็นสกทาคามี
บางพวกเป็นอนาคามี บางพวกเป็นอรหันต์ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบอรรถกถาปริยายสูตรที่ 2

3. อัคคิสูตร



เจริญโพฌงค์ตามกาล


[568] ครั้งนั้น ภิกษุเป็นอันมาก เวลาเช้า นุ่งแล้วถือบาตรและ
จีวรเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงสาวัตถี (ความต่อไปเหมือนปริยายสูตรข้อ 547-
550) พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกอัญญเดียรถีย์-
ปริพาชกผู้มีวาทะอย่างนั้น ควรเป็นผู้อันเธอทั้งหลายพึงถามอย่างนี้ว่า ดูก่อนผู้
มีอายุทั้งหลาย สมัยใด จิตหดหู่ สมัยนั้น มิใช่กาลเพื่อเจริญโพชฌงค์เหล่า
ไหน เป็นกาลเพื่อเจริญโพชฌงค์เหล่าไหน. สมัยใด จิตฟุ้งซ่าน สมัยนั้น
มิใช่กาลเพื่อเจริญโพชฌงค์เหล่าไหน เป็นกาลเพื่อเจริญโพชฌงค์เหล่าไหน.
พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกถูกเธอทั้งหลายถามอย่างนั้นแล้ว จักถึงความอึดอัด
อย่างยิ่ง ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเป็นปัญหาที่ถามในฐานะมิใช่วิสัย ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เรายังไม่แลเห็นบุคคลในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก
พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ที่จะยังจิต
ให้ยินดีด้วยการแก้ปัญหาเหล่านี้ เว้นเสียจากตถาคต สาวกของตถาคต หรือ
ผู้ที่ฟังจากตถาคต หรือจากสาวกของตถาคตนั้น.
[569] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สมัยใด จิตหดหู่ สมัยนั้น มิใช่กาล
เพื่อเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ มิใช่กาลเพื่อเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ มิใช่กาล
เพื่อเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์. ข้อนั้นเพราะเหตุไร. เพราะจิตหดหู่ จิตที่หด
หู่นั้นยากที่จะให้ตั้งขึ้นได้ด้วยธรรมเหล่านั้น. เปรียบเหมือนบุรุษต้องการจะก่อ