เมนู

อรรถกถามัคคสังยุต ในมหาวารวรรค


อวิชชาวรรคที่ 1



อรรถกถาอวิชชาสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในอวิชชาสูตรที่ 1 แห่งมหาวรรค.*
บทว่า ปุพฺพงฺคมา ได้แก่ เป็นหัวหน้าด้วยอาการ 2 อย่าง คือ
ด้วยอำนาจสหชาตปัจจัย 1 ด้วยอำนาจอุปนิสสยปัจจัย 1. บทว่า สมาปตฺติยา
ความว่า เพื่อการเข้าถึง เพื่อการได้สภาพ เพื่อความเกิดขึ้น. บทว่า
อนฺวเทว อหิริกํ อโนตฺตปฺปํ ความว่า ก็อหิริกะ ตั้งอยู่ด้วยอาการ
แห่งความไม่ละอาย และอโนตตัปปะ ตั้งอยู่ด้วยอาการแห่งความไม่กลัวนั่นใด
อวิชชานี้นั้น ย่อมเกิดขึ้นร่วมกับอหิริกะและอโนตตัปปะนั้น เว้นอหิริกะ
และอโนตตัปปะนั้นเสียหาเกิดขึ้นได้ไม่. บทว่า อวิชฺชาคตสฺส ความว่า
มิจฉาทิฏฐิย่อมเกิดมีแก่ผู้เข้าถึง คือประกอบด้วยอวิชชา. บทว่า มิจฺฉาทิฏฺฐิ
ได้แก่ความไม่เห็นตามเป็นจริง คือความไม่เห็นธรรมเครื่องนำสัตว์ให้พ้นทุกข์.
บทว่า ปโหติ คือย่อมมี ได้แก่ย่อมเกิดขึ้น. แม้ในมิจฉาสังกัปปะเป็นต้น พึง
ทราบความเป็นมิจฉาด้วยสามารถความไม่จริง และไม่นำสัตว์ให้พ้นทุกข์นั่นแล.
ชื่อว่า องค์แห่งความเป็นมิจฉาเหล่านี้ ย่อมมี เพื่อความเกิดขึ้นแห่งอกุศล
ธรรม 8 ด้วยประการฉะนี้. ส่วนองค์แห่งมิจฉัตตะทั้งหลายเหล่านั้นทั้งหมด
ย่อมไม่เกิดในขณะเดียวกัน ย่อมเกิดในขณะต่าง ๆ กัน. ถามว่า อย่างไร.
ตอบว่า เมื่อใด จิตประกอบด้วยทิฏฐิ เมื่อยังกายวิญญัติให้ตั้งขึ้นย่อมเกิด
เมื่อนั้น ก็ย่อมมีองค์ 6 คือ มิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) มิจฉาสังกัปปะ
* บาลีเป็น มหาวารวรรค

(ความดำริผิด) มิจฉาวายามะ (ความพยายามผิด) มิจฉาสติ (ความระลึกผิด)
มิจฉาสมาธิ (ความตั้งใจผิด) มิจฉากัมมันตะ (การงานผิด). เมื่อใด จิต
ไม่ประกอบด้วยทิฏฐิ เมื่อนั้นมีองค์ 5 เว้นมิจฉาทิฏฐิ. เมื่อใดสององค์
เหล่านั้นแล ย่อมยังวจีวิญญัติให้ตั้งขึ้น เมื่อนั้น ย่อมมีองค์ 6 หรือองค์ 5
ตั้งอยู่ในมิจฉาวาจา ในฐานะมิจฉากัมมันตะ ชื่อว่า อาชีวะนี้ เมื่อกำเริบ
ย่อมกำเริบในกายทวารและวจีทวารในทวารใดทวารหนึ่งเท่านั้น หากำเริบใน
มโนทวารไม่. เพราะฉะนั้น องค์ 6 หรือองค์ 5 เหล่านั้นแล ย่อมมีด้วย
อำนาจ มิจฉาชีวะว่า เมื่อใด จิตเหล่านั้นแล ย่อมยังกายวิญญัติและวจีวิญญัติ
ให้ตั้งขึ้น โดยมุ่งถึงอาชีวะ เมื่อนั้น กายกรรม จึงชื่อว่า มิจฉาชีวะ วจีกรรม
ก็อย่างนั้น. ก็เมื่อใดจิตเหล่านั้น ย่อมเกิดขึ้น เพราะไม่ยังวิญญติให้ตั้งขึ้น
เมื่อนั้นย่อมมีองค์ 5 ด้วยสามารถแห่งมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉา-
วายามะ มิจฉาสติ และมิจฉาสมาธิ หรือองค์ 4 ด้วยสามารถแห่งมิจฉา
สังกัปปะเป็นต้น ดังนั้น องค์ทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมไม่เกิดในขณะเดียวกัน
ทั้งหมด ย่อมเกิดในขณะต่าง ๆ กันอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
ในสุกกปักข์ บทว่า วิชฺชา ได้แก่ รู้ความที่สัตว์มีกรรมเป็นของ ๆ
ตน. แม้ในวิชชานี้ พึงทราบความที่วิชชาเป็นหัวหน้า โดยอาการ 2 คือ
ด้วยอำนาจสหชาตปัจจัย 1 ด้วยอำนาจอุปนิสสยปัจจัย 1. บทว่า หิโรตฺตปฺปํ
ได้แก่ ความละอายบาป และความกลัวบาป. ในธรรม 2 อย่างนั้น หิริ
ตั้งอยู่ด้วยอาการแห่งความละอาย โอตตัปปะ ตั้งอยู่ด้วยอาการแห่งความกลัว.
นี้เป็นความสังเขปในข้อนี้. ส่วนความพิสดาร ท่านกล่าวในวิสุทธิมรรคแล้ว
แล. บทว่า วิชฺชาคตสฺส ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ ย่อมเกิดมีแก่ผู้เข้าถึงคือ
ประกอบด้วยวิชชา. บทว่า วิทฺทสุโน ได้แก่ ผู้รู้แจ้งคือบัณฑิต. บทว่า
สมฺมาทิฏฐิ ได้แก่ความเห็นตามเป็นจริง คือความเห็นนำสัตว์ให้พ้นทุกข์.

แม้ในสัมมากัมมันตะเป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. องค์ 8 เหล่านี้ย่อมมีเพื่อ
ความเกิดแห่งกุศลธรรมด้วยประการฉะนี้. องค์แม้ 8 เหล่านั้น ย่อมไม่เกิด
พร้อมกันในขณะแห่งโลกิยมรรค แต่ย่อมเกิดพร้อมกันในขณะแห่งโลกุตร-
มรรค. ก็แลองค์ 8 เหล่านั้น ย่อมมีในมรรคอันประกอบด้วยปฐมฌาน ส่วน
ในมรรคอันประกอบด้วยทุติยฌานเป็นต้น ย่อมมีองค์ 7 เท่านั้น เว้นสัมมา
สังกัปปะ.
ในองค์ 7 เหล่านั้น ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เพราะในมหาสฬายตน
สูตร ในมัชฌิมนิกาย ท่านกล่าวว่า ความเห็นของผู้เป็นอย่างนั้น อันใด
ความเห็นอันนั้น ย่อมเป็นสัมมาทิฏฐิของผู้นั้น ความดำริของผู้เป็นอย่างนั้น
อันใด ความเห็นอันนั้น ย่อมเป็นสัมมาสังกัปปะของผู้นั้น ความพยายาม
ของผู้เป็นอย่างนั้นอันใด ความเห็นอันนั้น ย่อมเป็นสัมมาวายามะของผู้นั้น
ความระลึกของผู้เป็นอย่างนั้น อันใด ความเห็นอันนั้น ย่อมเป็นสัมมาสติ
ของผู้นั้น. ความตั้งใจมั่นของผู้เป็นอย่างนั้นอันใด ความเห็นอันนั้น ย่อมเป็น
สัมมาสมาธิของผู้นั้น. ก็แล ในเบื้องต้นกายกรรม วจีกรรม และอาชีวะของ
ผู้นั้น ก็ย่อมบริสุทธิ์ด้วยดี ดังนี้. ฉะนั้น โลกุตรมรรค ก็ย่อมประกอบ
ด้วยองค์ 5 เท่านั้นดังนี้. ผู้นั้นพึงถูกเขาต่อว่า ในสูตรนั้นแลว่า เพราะเหตุไร
ท่านจึงไม่เห็นคำนี้ว่า อริยมรรค อันประกอบด้วยองค์ 8 นี้ ย่อมถึงความ
เจริญเต็มที่แก่ภิกษุนั้นอย่างนี้ ดังนี้. ส่วนข้อที่ท่านกล่าวว่า ปุพฺเพว โข
ปนสฺส นั้น ท่านกล่าวแล้วเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ จำเดิมแต่วันที่บวชแล้ว
ในข้อนี้ท่านแสดงความหมายไว้ดังนี้ว่า ก็จำเดิมแต่วันที่บวชแล้ว กายกรรม
เป็นต้นอันบริสุทธิ์ ย่อมบริสุทธิ์ ยิ่งนัก ในขณะแห่งโลกุตรมรรคดังนี้.

แม้คำใด อันท่านกล่าวในอภิธรรมว่า ก็ในสมัยนั้นแล มรรคย่อม
ประกอบด้วยองค์ 5 คำนั้นท่านกล่าวเพื่อแสดงในระหว่างกิจอย่างหนึ่ง. ก็ใน
กาลใด บุคคลละการงานผิดแล้ว ย่อมยังการงานที่ชอบให้บริบูรณ์ในกาลนั้น.
มิจฉาวาจา หรือมิจฉาชีวะ ย่อมไม่มี สัมมากัมมันตะ ย่อมให้
บริบูรณ์ในองค์ที่เป็นตัวการทั้งหลาย 5 เหล่านี้คือ ทิฏฐิ 1 สังกัปปะ 1
วายามะ 1 สติ 1 สมาธิ 1. ก็สัมมากัมมันตะ ชื่อว่า ย่อมให้บริบูรณ์ได้
ด้วยสามารถแห่งวิรัติ แม้ในสัมมาวาจาและสัมมาอาชีวะ ก็มีนัยนี้แล. คำอัน
ท่านกล่าวแล้วอย่างนี้ เพื่อแสดงในระหว่างกิจนี้. ส่วนในขณะแห่งโลกิยมรรค
ย่อมมีองค์ 5 แน่. แต่วิรัติไม่แน่ เพราะฉะนั้น ท่านไม่กล่าวว่าองค์ 6
แต่กล่าวว่า มีองค์ 5 เท่านั้น ด้วยประการฉะนี้. ก็บัณฑิตพึงทราบว่า
โลกุตรมรรค ย่อมมีองค์ 8 เพราะความสำเร็จแห่งสัมมากัมมันตะเป็นต้น
เป็นองค์แห่งโลกุตรมรรค ในสูตรหลายสูตรมีมหาจัตตทาฬีสกสูตรเป็นต้น
อย่างนี้ว่า ก็ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีจิตเป็นอริยะ หาอาสวะมิได้
พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่ การงด การเว้น การเว้นขาด
จากกายทุจริต 3 คือเจตนาเครื่องงดเว้นไม่กระทำ การไม่ทำอันใด ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย สัมมากัมมันตะนี้ ย่อมเป็นโลกุตรมรรค เป็นอริยะหาอาสวะ
มิได้ ดังนี้. ในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสมรรคมีองค์ 8 นี้ เจือ
ด้วยโลกิยและโลกุตระ.
จบอรรคกถาอวิชชาสูตรที่ 1

2. อุปัฑฒสูตร



ความเป็นผู้มีมิตรดี เป็นพรหมจรรย์


[4] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ นิคมของชาวสักยะ ชื่อ
สักกระ ในแคว้นสักกะของชาวศากยะทั้งหลาย ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้า
ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี นี้เป็นกึ่งหนึ่งแห่ง
พรหมจรรย์เทียวนะ พระเจ้าข้า.
[5] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ เธออย่าได้กล่าว
อย่างนั้น เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น ก็ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี
นี้เป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้นทีเดียว ดูก่อนอานนท์ อันภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี
มีเพื่อนดี พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญอริยมรรคประกอบด้วยองค์ 8 จักกระ
ทำให้มากซึ่งอริยมรรคประกอบด้วยองค์ 8.
[6] ดูก่อนอานนท์ ก็ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี ย่อม
เจริญอริยมรรคประกอบด้วยองค์ 8 ย่อมกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคประกอบ
ด้วยองค์ 8 อย่างไรเล่า ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ
อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ย่อมเจริญ
สัมมาสังกัปปะ. . . สัมมาวาจา. . . สัมมากัมมันตะ. . . สัมมาอาชีวะ. . .
สัมมาวายามะ . . . สัมมาสติ. . . สัมมาสมาธิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ
อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ดูก่อนอานนท์ ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี