เมนู

อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความ
ตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
[419] ท่านพระมหากัสสปกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
โพชฌงค์ดีนัก ข้าแต่พระสุคต โพชฌงค์ดีนัก พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัส
ไวยากรณภาษิตนี้แล้ว ท่านพระมหากัสสปปลื้มใจ ชื่นชมภาษิตของพระผู้มี-
พระภาคเจ้า ท่านพระมหากัสสปหายจากอาพาธนั้นแล้ว และอาพาธนั้น
อันท่านพระมหากัสสปละได้แล้ว ด้วยประการฉะนี้แล
จบปฐมคิลานสูตรที่ 4

อรรถกถาปฐมคิลานสูตร



พึงทราบวินิจฉัยใน ปฐมคิลานสูตรที่ 4.
บทว่า ตถา ปหีโน จายสฺมโต มหากสฺสปสฺส โส อาพาโธ
อโหสิ
ความว่า ได้ยินว่า เมื่อพระมหากัสสปเถระตั้งใจพิงโพชฌงคภาวนา
นี้อยู่ ได้มีความดำรินี้ว่า เมื่อเราแทงตลอดอยู่ซึ่งสัจจะทั้งหลายในวันที่ 7
แต่วันที่เราบวชแล้ว โพชฌงค์เหล้านี้ก็ปรากฏ ก็เมื่อท่านคิดอยู่ว่า โอ คำ
สอนของพระศาสดานำสัตว์ออกจากทุกข์ดังนี้ โลหิตก็ผ่องใส อุปาทารูป ก็
หมดจด. โรคหายไปจากกายเหมือนหยาดน้ำตกในใบบัวฉะนั้น. เพราะเหตุ
นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ตถา ปหีโน จายสฺมโต มหากสฺสปสฺ
โส อาพาโธ อโหสิ
ดังนี้.

แม้ใน คิลานสูตรที่ 4 และที่ 5 ก็มีนัยนี้เหมือนกัน ความป่วยไข้
ที่เกิดแต่ความเย็นอ่อน ๆ ซึ่งเกิดขึ้นด้วยการถูกต้องกับลมจากต้นไม้มีดอกเป็น
พิษที่บานแล้ว ที่เชิงแห่งภูเขา พึงทราบว่าเป็นอาพาธของชนแม้ทั้ง 3
เหล่านี้. คำที่เหลือในบททั้งปวง ง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาปฐมคิลานสูตรที่ 4

5. ทุติยคิลานสูตร



พระมหาโมคคัลลานะหายอาพาธด้วยโพชฌงค์ 7


[420] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหาร-
เวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน ใกล้กรุงราชคฤห์ ก็สมัยนั้น ท่านพระมหาโมค-
คัลลานะอาพาธ ไม่สบาย เป็นไข้หนัก อยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฎ.
[421] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จกจากที่เร้นในเวลาเย็น
เข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานะถึงที่อยู่ แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้
ครั้นแล้ว ได้ตรัสถามท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า ดูก่อนโมคคัลลานะ เธอ
พออดทนได้หรือ พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้แลหรือ ทุกขเวทนาคลายลงไม่
กําเริบขึ้นแลหรือ ความทุเลาย่อมปรากฏ ความกําเริบขึ้นไม่ปรากฏแลหรือ
ท่านพระมหาโมคคัลลานะกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญข้าพระองค์อดทน
ไม่ได้ ยังอัตภาพให้เป็นไปไม่ได้ ทุกขเวทนาของข้าพระองค์ย่อมกําเริบหนัก
ยังไม่คลายลง ความกําเริบย่อมปราก ความทุเลาไม่ปรากฏ.