เมนู

[372] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายนี้มีอาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้
เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ แม้ฉันใด โพชฌงค์ 7 เหล่านี้ก็มี
อาหารเป็นที่ตั้ง ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยอาหาร ไม่มีอาหารดำรงอยู่ไม่ได้ ฉัน
นั้นเหมือนกัน.
จบกายสูตร 2

อรรถกถากายสูตร


พึงทราบวินิจฉัยในกายสูตรที่ 2.
บทว่า อาหารฎฺฐิติโก คือกายนี้ดำรงอยู่ได้เพราะปัจจัย. บทว่า
อาหารํ ปฎิจฺจ ได้แก่ อาศัยปัจจัย. บทว่า สุภนิมิตฺตํ ได้แก่ แม้สิ่ง
ที่งามก็เป็นศุภนิมิต แม้อารมณ์ของสิ่งที่งาม ก็เป็นศุภนิมิต. บทว่า อโยนิโส
มนสิกาโร
ได้แก่ ไม่กระทำไว้ในใจโดยอุบาย คือ กระทำไว้ในใจนอกทาง
ได้แก่ กระทำในใจในความไม่เที่ยงว่าเที่ยง หรือในความทุกข์ว่าสุข ในสิ่ง
ที่มิใช่ตนว่าตน หรือในสิ่งที่ไม่งามว่างาม กามฉันทะย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้ยัง
มนสิการนั้นให้เป็นไปอยู่ในสุภารมณ์นั้นโดยมาก. เพราะเหตุนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า อตฺติ ภิกฺขเว สุภนิมิตตฺตํ ดังนี้เป็นต้น. พึง
ทราบวาจาประกอบในนิวรณ์ในที่ทั้งปวงด้วยประการฉะนี้.

ส่วนในบทว่า ปฏิฆนิมิตฺตํ เป็นต้น ปฏิฆะก็ดี อารมณ์ของปฏิฆะ
ก็ดี จัดเป็นปฏิฆนิมิต. บทว่า อรติ แปลว่า ความกระสัน. พระองค์
ตรัสข้อว่า ในบทเหล่านั้น ความไม่ยินดีเป็นไฉน คือความไม่ยินดี
ความไม่ยินดียิ่ง ความไม่อภิรมย์ ความกระสัน ความสะดุ้งในเสนาสนะ
ทั้งหลายอันสงัด หรือในธรรมทั้งหลาย อันเป็นอธิกุศลอย่างใดอย่างหนึ่ง
นี้เรียกว่า ความไม่ยินดี.
บทว่า ตนฺทิ ได้แก่ ความคร้านกายที่จรมาเกิดขึ้น เพราะมีหนาวนัก
เป็นต้นเป็นปัจจัย เมื่อมันเกิดขึ้น เขาจะกล่าวว่า หนาวนัก ร้อนนัก เรา
หิวนัก กระหายนัก เราเดินทางไกลนัก. พระองค์ตรัสข้อว่า ในบทเหล่านั้น
ความเกียจคร้านเป็นไฉน คือกิริยาที่เกียจคร้าน ความมีใจเกียจคร้าน
ความคร้าน กิริยาที่คร้าน ความเป็นคนมีความคร้านอันใด นี้เรียกว่า
ความเกียจคร้าน.
บทว่า วิชมฺภิตา ได้แก่ ความบิดกายด้วยอำนาจกิเลส. พระองค์
ตรัสข้อว่า ในบทเหล่านั้น ความบิดขี้เกียจเป็นไฉน คือความบิดกาย
ความบิด ความเอียงมา ความเอียงไป ความสยบลง ความซบเซา ความ
ป่วยไข้ของกายอันใด นี้เรียกว่า ความบิดขี้เกียจ.
บทว่า ภตฺตสมฺมโท ได้แก่ ความเร่าร้อนในอาหาร. พระองค์
ตรัสข้อว่า ในบทเหล่านั้น ความเมาในอาหารเป็นไฉน ความสยบใน
อาหาร ลำบากในอาหาร ความเร่าร้อนในอาหาร ความอ้วนของกายของคน
ผู้บริโภคอันใด อันนี้เรียกว่า คงเมาในอาหาร.
บทว่า เจตโส ลีนตฺตํ ได้แก่ อาการหดหู่ของจิต. พระองค์ตรัสข้อ
ว่า ในบทเหล่านั้น ความหดหู่ของจิตใจเป็นไฉน คือความไม่งาม ความ

ไม่ควรแก่การงาน ความหดหู่ลง กิริยาหดหู่ ความหดหู่ของจิต ท้อแท้ กิริยา
ที่ท้อแท้ ความท้อแท้ของจิตอันใด อันนี้เรียกว่าความหดหู่ของจิต.
บทว่า เจตโส อวูปสโม ความว่า อาการไม้สงบของจิต เหมือน
คนนั่งก่อไฟ มีแต่ถ่านปราศจากเปลวไฟ และเหมือนคนนั่งไม่ก้อไฟในที่สุม-
บาตร ฉะนั้น แต่โดยเนื้อความข้อนั้น เป็นความฟุ้งซ่านรำคาญแท้.
บทว่า วิจิกิจฺฉาฎฐานิยา ธมฺมา ได้แก่ ธรรมเป็นอารมณ์ของ
วิจิกิจฉา. อโยนิโสมนสิการมีนัยอันกล่าวไว้ในบททั้งปวงแล ในข้อนี้ ธรรม
2 เหล่านี้ คือ กามฉันทะ วิจิกิจฉา ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ โดยอารมณ์
พยาบาท กล่าวไว้โดยอารมณ์และอุปนิสสัยปัจจัย ธรรมที่เหลือกล่าวไว้โดย
สหชาตปัจจัย และอุปนิสสัยปัจจัย ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า สติสมฺโพชฺณงฺคฎฺฐานิยา ธมฺมา ได้แก่ ธรรมเป็น
อารมณ์ของสติ คือโพธิปักขิยธรรม 37 และโลกุตรธรรม 9. บทว่า ตตฺถ
โยนิโสมนสิการพหุลีกาโร
ได้แก่ การทำบ่อย ๆ ซึ่งมนสิการโดยอุบาย
ในธรรมนั้น.
บทว่า กุสลา ในบทเป็นต้นว่า กุสลากุสลา ธมฺมา ได้แก่
ธรรมเกิดแต่ความฉลาดไม่มีโทษมีผลเป็นสุข. บทว่า อกุสลา ได้แก่ ธรรม
เกิดแต่ความไม่ฉลาด มีโทษ มีผลเป็นทุกข์. บทว่า สาวชฺชา ได้แก่
ธรรมเป็นอกุศล. บทว่า อนวชฺชา ได้แก่ ธรรมเป็นกุศล. แม้ในธรรมเลว
ประณีต ดำและขาว ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า สปฺปฏิภาคา ได้แก่
กัณหธรรมและสุกกธรรมเท่านั้น ด้วยว่า กัณหธรรมชื่อว่ามีส่วนเปรียบเพราะ
ให้ผลดำ และสุกกธรรมชื่อว่า มีส่วนเปรียบ เพราะให้ผลขาว อธิบายว่า มีส่วน
แห่งวิบากเช่นกัน อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า มีส่วนเปรียบ เพราะมีส่วนตรงกัน
ข้าม. คือมีส่วนเปรียบแม้อย่างนี้ว่า ส่วนสุกกธรรมตรงกันข้ามกับกัณหธรรม

และกัณหธรรมตรงกันข้ามกับสุกกธรรม อีกอย่างหนึ่ง ชื่อวา มีส่วนเปรียบ
เพราะอรรถว่า จะนำมากลับกันไม่ได้. คือกัณหะและสุกกธรรมมีส่วนเปรียบ
กันได้อย่างนี้ว่า ฝ่ายอกุศลห้ามกุศลแล้ว จึงให้วิบากของตน ส่วนกุศลห้าม
อกุศลแล้ว จึงให้วิบากของตน ดังนี้.
บทว่า อารพฺภธาตุ ได้แก่ความเพียรครั้งแรก. บทว่า นิกฺขมธาตุ
ได้แก่ความเพียรมีกําลังกว่านั้น เพราะออกจากความเกียจคร้าน. บทว่า
ปรกฺกมธาตุ ได้แก่ ความเพียรมีกำลังกว่านั้น เพราะเป็นเหตุก้าวไปข้าง
หน้า ๆ คือฐานะ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวด้วยบท 3.
บทว่า ปีติสมฺโพชฺณงฺคฎฺฐานิยา ได้แก่ ธรรมเป็นอารมณ์ของ
ปีติ. บทว่า กายปสฺสทฺธิ ได้แก่ ความสงบแห่งขันธ์* สาม. บทว่า จิตฺต
ปสฺสทฺธิ
ได้แก่ ความสงบแห่งวิญญาณขันธ์ บทว่า สมาธินิมิตฺตํ ได้แก่
สมถะบ้าง อารมณ์ของสมถะบ้าง. บทว่า อพฺยคฺคนิมิตฺตํ เป็นไวพจน์ของ
บทว่า สมาธินิมิตฺตํ นั้น.
บทว่า อุเปกฺขาสมฺโพชฺฌงฺคฺฏฺฐานิยา ได้แก่ ธรรมเป็นอารมณ์
ของอุเบกขา แต่โดยเนื้อความ พึงทราบอาการอันเป็นกลางว่า ธรรมทั้ง
หลายเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขา ในข้อนี้ สติ ธรรมวิจยะ และอุเบกขาสัมโพชฌงค์
ท่านกล่าวไว้โดยความเป็นอารมณ์อย่างนี้. ธรรมทั้งหลายที่เหลือท่านกล่าวไว้
โดยความเป็นอารมณ์บ้าง โดยความเป็นอุปนิสสัยบ้าง.
จบอรรถกถากายสูตรที่ 2
* คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ และสังขารขันธ์.

3. สีลสูตร



การหลีกออก 2 วิธี


[373] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล้าใดเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสมาธิ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุตติ
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุตติญาณหัสสนะ การได้เห็นภิกษุเหล่านั้นก็ดี การได้ฟัง
ภิกษุเหล่านั้นก็ดี การเข้าไปนั่งใกล้ภิกษุเหล่านั้นก็ดี การระลึกถึงภิกษุเหล่า
นั้นก็ดี แต่ละอย่าง ๆ เรากล่าวว่ามีอุปการะมาก ข้อนั้นเพราะเหตุไร. เพราะ
ว่าผู้ที่ได้ฟังธรรมของภิกษุเห็นปานนั้นแล้ว ย่อมหลีกออกอยู่ด้วย 2 วิธี คือ
หลีกออกด้วยกาย 2 หลีกออกด้วยจิต 1 เธอหลีกออกอยู่อย่างนั้นแล้ว ย่อมระ
ลึกถึง ย่อมตรึกถึงธรรมนั้น.
[374] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุหลีกออกอยู่อย่างนั้นแล้ว
ย่อมระลึกถึง ย่อมตรึกถึงธรรมนั้น สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ เป็นอันภิกษุ
ปรารภแล้ว ภิกษุย่อมชื่อว่าเจริญสติสัมโพชฌงค์ สติสัมโพชฌงค์ของภิกษุย่อม
ถึงความเจริญบริบูรณ์ เธอมีสติอยู่อย่างนั้น ย่อมเลือกเฟ้น ตรวจตรา ถึง
ความพินิจพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา.
[375] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุมีสติอยู่อย่างนั้น ย้อม
เลือกเฟ้น ตรวจตรา ถึงความพินิจพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา สมัยนั้น
ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ เป็นอันภิกษุปรารภแล้ว ภิกษุย่อมชื่อว่าเจริญธรรม
วิจยสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ขอภิกษุย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์
เมื่อภิกษุเลือกเฟ้น ตรวจตรา พินิจพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา ความเพียร
อันไม่ย่อหย่อนเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว.