เมนู

ย่อมทรงพิจารณาเห็นจักษุว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่
ตัวตนของเรา ย่อมทรงพิจารณาเป็น หู. . . .จมูก. . . .ลิ้น. . . .กาย. . . .
ใจว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เพราะเหตุ
นั้น เมื่อตถาคตถูกถามอย่างนั้นแล้ว จึงไม่ทรงพยากรณ์อย่างนี้ว่า โลก
เที่ยงก็ดี. ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิด
อีกก็หามิได้ก็ดี.
[793] . ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี ในข้อ
ที่อรรถกับอรรถ พยัญชนะกับพยัญชนะ ของศาสดากับของสาวก ย่อม
เทียบกันได้เข้ากันได้ ไม่ผิดเพี้ยนกันในบทที่สำคัญ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
เมื่อกี้นี้ข้าพระองค์ได้เข้าไปหาสมณมหาโมคคัลลานะแล้ว ได้ถามความข้อนี้
แม้สมณมหาโมคคัลลานะก็ได้พยากรณ์ความข้อนี้ ด้วยบทเหล่านี้ด้วย
พยัญชนะเหล่านี้ แก่ข้าพระองค์ ดุจพระโคดมผู้เจริญเหมือนกัน ข้าแต่
พระโคดมผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ไม่เคยมี ในข้อที่อรรถกับอรรถ พยัญชนะ
กับพยัญชนะ ของศาสดากับของสาวก ย่อมเทียบกันได้ เข้ากันได้
ไม่ผิดเพี้ยนกันในบทที่สำคัญ.
จบ โมคคัลลานะสูตรที่ 7

8. วัจฉสูตร



ว่าด้วยวัจฉโคตรปริพชกถามปัญหาพระผู้มีพระภาคเจ้า



[794] ครั้งนั้นแล วัจฉโคตรปริพาชกได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มี-
พระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการ
ปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว

ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ โลกเที่ยงหรือ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตอบว่า ดูก่อนวัจฉะปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาที่เราไม่
พยากรณ์ ฯลฯ.
. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีก
ก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้หรือ.
. ดูก่อนวัจฉะ แม้ปัญหาข้อนี้ก็เป็นปัญหาที่เราไม่พยากรณ์อีก
เหมือนกัน.
. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรเล่า เป็นเหตุเป็นปัจจัย ได้พวก
ปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่น เมื่อถูกถามอย่างนั้นแล้ว พยากรณ์อย่างนี้ว่า โลก
เที่ยงบ้าง ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่
เกิดอีกก็หามิได้บ้าง ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรเล่า เป็นเหตุ เป็นปัจจัย
ให้พระโคดมผู้เจริญ เมื่อถูกทูลถามอย่างนั้นแล้ว ไม่ทรงพยากรณ์อย่างนี้
โลกเที่ยงก็ดี ฯลฯ ส่วนเบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่
เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี.
[795] . ดูก่อนวัจฉะ พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่น ย่อมเห็น
รูปโดยความเป็นตน ย่อมเห็นตนว่ามีรูป ย่อมเห็นรูปในตน หรือย่อม
เห็นตนในรูป ฯลฯ ย่อมเห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ย่อมเห็นตนว่ามี
วิญญาณย่อมเห็นวิญญาณในตน หรือย่อมเห็นตนในวิญญาณ เพราฉะนั้น
พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่น เมื่อถูกถามอย่างนั้นแล้ว จึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า
โลกเที่ยงบ้าง ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่

เกิดอีกก็หามิได้บ้าง ดูก่อนวัจฉะ ส่วนพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ย่อมไม่เห็นรูปโดยความเป็นตน ย่อมไม่เห็นตนว่ามีรูป ย่อมไม่เห็นรูป
ในตน หรือย่อมไม่เห็นตนในรูป ฯลฯ ย่อมไม่เห็นวิญญาณโดยความ
เป็นตน ย่อมไม่เห็นตนว่ามีวิญญาณ ย่อมไม่เห็นวิญญาณในตน หรือ
ย่อมไม่เห็นตนในวิญญาณ เพราะฉะนั้น เมื่อตถาคตถูกถามอย่างนั้น
จึงไม่พยากรณ์อย่างนี้ว่าโลกเที่ยงก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อม
เกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี.
[796] ครั้งนั้นแล วัจฉโคตรปริพาชกลุกขึ้นจากที่นั่งแล้ว
ได้เข้าไปหาที่ในพระมหาโมคคัลลานะถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านโมคคัล-
ลานะ ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามพระมหาโมคคัลลานะว่า ดูก่อนท่านโมค-
คัลลานะ โลกเที่ยงหรือ ท่านพระมหาโมคคัลลานะตรัสว่า ดูก่อนวัจฉะ
ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาที่พระผู้มีพระเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ ฯลฯ.
. ดูก่อนท่านโมคคัลลานะ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีก
ก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้หรือ.
. ดูก่อนวัจฉะ แม้ปัญหาข้อนี้ก็เป็นปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ไม่ทรงพยากรณ์อีกเหมือนกัน.
. ดูก่อนท่านโมคคัลลานะ อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้
พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่น เมื่อถูกถามอย่างนั้น ย่อมพยากรณ์อย่างนี้ว่า
โลกเที่ยงบ้าง ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อม

ไม่เกิดอีกก็หามิได้บ้าง ดูก่อนท่านโมคคัลลานะ เห็นอะไรหนอ เป็นเหตุ
เป็นปัจจัยให้พระสมณโคดม เมื่อถูกทูลถามอย่างนั้นแล้ว ย่อมไม่ทรง
พยากรณ์อย่างนี้ว่า โลกเที่ยงก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีก
ก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี.
[797] ดูก่อนวัจฉะ พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นย่อมเห็นรูปโดย
ความเป็นตน ย่อมเห็นตนว่ามีรูป ย่อมเห็นรูปในตน หรือย่อมเห็นตน
ในรูป ฯลฯ ย่อมเห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ย่อมเห็นตนว่ามีวิญญาณ
ย่อมเห็นวิญญาณในตน หรือย่อมเห็นตนในวิญญาณ เพราะฉะนั้น พวก
ปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่น เมื่อถูกถามอย่างนั้น จึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า โลก
เที่ยงบ้าง ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิด
อีกก็หามิได้บ้าง ดูก่อนวัจฉะ ส่วนพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ย่อมไม่ทรงเห็นรูป โดยความเป็นตน ย่อมไม่ทรงเห็นตนว่ามีรูป ย่อมไม่
ทรงเห็นรูปในตน หรือย่อมไม่ทรงเห็นตนในรูป ฯลฯ ย่อมไม่ทรงเห็น
วิญญาณโดยความเป็นตน ย่อมไม่ทรงเห็นตนว่ามีวิญญาณ ย่อมไม่ทรง
เห็นวิญญาณในตน หรือย่อมไม่ทรงเห็นตนในวิญญาณ เพราะฉะนั้น เมื่อ
พระตถาคตถูกทูลถามอย่างนั้น จึงไม่ทรงพยากรณ์อย่างนี้ว่า โลกเที่ยงก็ดี
โลกไม่เที่ยงก็ดี โลกมีที่สุดก็ดี โลกไม่มีที่สุดก็ดี ชีพก็อันนั้น สรีระก็
อันนั้นก็ดี ชีพเป็นอย่างอื่น สรีระก็เห็นอย่างอื่นก็ดี สัตว์เบื้องหน้าแต่
ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็ดี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่เกิดอีกก็ดี สัตว์
เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มีก็ดี สัตว์เบื้องหน้าแต่
ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี.

[798] ดูก่อนท่านโมคคัลลานะ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี ในข้อที่
อรรถกับอรรถ พยัญชนะกับพยัญชนะ ของศาสดากับของสาวก ย่อมเทียบ
กันได้ สมกันได้ ไม่ผิดเพี้ยนกันในบทที่สำคัญ ดูก่อนท่านโมคคัลลานะ.
เมื่อกี้นี้ข้าพเจ้าได้เข้าไปเฝ้าพระสมณโคดม ได้ทูลถามเรื่องนี้ แม้พระ-
สมณโคดมก็ได้ทรงพยากรณ์เรื่องนี้ ด้วยบทเหล่านี้ ด้วยพยัญชนะเหล่านี้
แก่ข้าพเจ้า ดุจท่านโมคคัลลานะเหมือนกัน ดูก่อนท่านโมคคัลลานะ
น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี ในข้อที่อรรถกับอรรถ พยัญชนะกับพยัญชนะของ
ศาสดากับของสาวก ย่อมเทียบกันได้ สมกันได้ ไม่ผิดเพี้ยนกันในบทที่
สำคัญ.
จบ วัจฉสูตรที่ 7

9. กุตุหลสาลาสูตร



ว่าด้วยพระผู้มีพระภาคเจ้ายอดเยี่ยมกว่าครูทั้ง 6



[799] ครั้งนั้นแล วัจฉโคตรปริพาชกได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มี-
พระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการ
ปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วจึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
ได้ทราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เมื่อวันก่อน ๆ
โน้น พวกสมณพราหมณ์และปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นมากด้วยกัน นั่งประชุม
กันในศาลาวุ่นวาย ได้เกิดมีการสนทนาขึ้นในระหว่างว่า ปูรณกัสสปนี้แล
เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ. เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ
ชนส่วนมากยกย่องว่า ปูรณกัสสปนั้นย่อมพยากรณ์สาวกผู้กระทำกาล