เมนู

ก็หามิได้ก็ดี ย่อมเกิดมีแก่บุคคลผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ความพอใจ
ความรัก ความระหาย ความเร่าร้อน ความทะยานอยากในเวทนา ใน
สัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ.
[778] ดูก่อนท่าน ความเห็นว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว
ย่อมเกิดอีกก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อม
ไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ย่อมไม่เกิดมีแก่บุคคลผู้ ปราศจากความกำหนัด
ความพอใจ ความรัก ความระหาย ความเร่าร้อน ความทะยานอยากใน
รูป ความเห็นว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเธออีกก็ดี ฯลฯ สัตว์
เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีก ก็หามิได้ก็ดี
ย่อมไม่เกิดมีแก่บุคคลผู้ปราศจากความกำหนัด ความพอใจ ความรัก
ความระหาย ความเร่าร้อน ความทะยานอยากในเวทนา ในสัญญา
ในสังขาร ในวิญญาณ ดูก่อนท่าน นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยในพระผู้มี-
พระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ปัญหาข้อนั้น.
จบ ตติยสารีปุตตโกฏฐิตสูตรที่ 5

6. จตุตถสารีปุตตโกฏฐิตสูตร



ว่าด้วยพระสารีบุตรถามปัญหาพระโกฏฐิตะ



[779] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโกฏฐิตะ
อยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี ครั้งนั้นแล ในเวลาเย็น
ท่านพระสารีบุตรออกจากที่หลีกเร้นแล้ว ได้เข้าไปหาท่านพระมหาโกฏฐิตะ

ถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระมหาโกฏฐิตะ ครั้นผ่านการปราศรัยพอใจ
ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วท่านพระสารีบุตร
ได้ถามท่านพระมหาโกฏฐิตะว่า ดูก่อนท่านมหาโกฏฐิตะ สัตว์เป็นหน้า
แต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกหรือ ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หา
มิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้หรือ ฯลฯ เมื่อผมถามแล้วดังนี้ ท่านก็ตอบว่า
ดูก่อนท่าน แม้ปัญหาข้อนี้ก็เป็นปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์
ดูก่อนท่าน ก็อะไรเล่าเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรง
พยากรณ์ปัญหาข้อนั้น.
[780] ท่านพระมหาโกฏฐิตะตอบว่า ดูก่อนท่าน ความเห็นว่า
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็ดี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่
เกิดอีกก็ดี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มีก็ดี
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี
ย่อมเกิดมีแก่บุคคลผู้มีรูปเป็นที่มายินดี ผู้ยินดีแล้วในรูป ผู้หมกมุ่นแล้ว
ในรูป ผู้ไม่รู้ไม่เห็นความดับแห่งรูปตามความเป็นจริง ความเห็นว่า สัตว์
เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อม
เกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ย่อมเกิดแก่บุคคลผู้มีเวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นที่มายินดี ผู้ยินดีแล้วหมกมุ่นแล้วในเวทนา
ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ผู้ไม่รู้ไม่เห็นความดับแห่งเวทนา แห่ง
สัญญา แห่งสังขาร แห่งวิญญาณ ตามความเป็นจริง.

[781] ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ความเห็นว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตาย
แล้วย่อมเกิดอีกก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้
ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ย่อมไม่เกิดมีแก่บุคคลผู้ไม่มีรูปเป็นที่มายินดี ผู้
ไม่ยินดีแล้วในรูป ผู้ไม่หมกมุ่นแล้วในรูป ผู้รู้เห็นความดับแห่งรูป ตาม
ความเป็นจริง ความเห็นว่าสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็ดี ฯลฯ
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หา มิได้ก็ดี
ย่อมไม่เกิดมีแก่บุคคลผู้ไม่มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นที่มา
ยินดี ผู้ไม่ยินดีแล้ว ไม่หมกมุ่นแล้วในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ใน
วิญญาณ ผู้รู้เห็นความดับแห่งเวทนา แห่งสัญญา แห่งสังขาร แห่ง
วิญญาณ ตามความเป็นจริง ดูก่อนท่าน นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พระผู้-
มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ปัญหาข้อนั้น.
[782] ท่านพระสารีบุตรถามว่า ดูก่อนท่าน ก็ปริยายแม้อื่น
ซึ่งเป็นเหตุให้พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ปัญหาข้อนั้นพึงมีหรือ
ท่านพระมหาโกฏฐิตะตอบว่า พึงมีท่าน คือ ความเห็นว่า สัตว์เบื้องหน้า
แต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิ
ได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ย่อมเกิดมีแก่บุคคลผู้มีภพเป็นที่มายินดี ผู้
ยินดีแล้วในภพ ผู้หมกมุ่นแล้วในภพ ผู้ไม่รู้ไม่เห็นความดับ แห่งภพตาม
ความเป็นจริง.
[783] ดูก่อนท่าน ความเห็นว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อม
เกิดอีกก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดก็หามิได้ ย่อมไม่
เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ย่อมไม่เกิดมีแก่บุคคลผู้ไม่มีภพเป็นที่มายินดี ผู้ไม่ยินดี

แล้วในภพ ผู้ไม่หมกมุ่นแล้วในภพ ผู้รู้ผู้เห็นความดับแห่งภพตามความ
เป็นจริง ดูก่อนท่าน แม้ข้อนี้ก็เป็นปริยายให้พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรง
พยากรณ์ปัญหาข้อนั้นเหมือนกัน.
[784] ท่านพระสารีบุตรถามว่า ดูก่อนท่าน ก็ปริยายแม้อื่น
ซึ่งเป็นเหตุให้พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ปัญหาข้อนั้น พึงมีหรือ
ท่านพระมหาโกฏฐิตะตอบว่า พึงมีท่าน คือ ความเห็นว่า สัตว์เบื้องหน้า
แต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หา
มิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ย่อมเกิดมีแก่บุคคลผู้มีอุปาทานเป็นที่มา
มิได้ ผู้ยินดีแล้วในอุปาทาน ผู้หมกมุ่นแล้วในอุปาทาน ผู้ไม่รู้ไม่เห็น
ความดับแห่งอุปาทาน ตามความเป็นจริง.
[785] ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ความเห็นว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตาย
แล้วย่อมเกิดอีกก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้
ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ย่อมไม่เกิดมีแก่บุคคลผู้ไม่มีอุปาทานเป็นที่มา
ยินดี ผู้ไม่ยินดีแล้วในอุปาทาน ผู้ไม่หมกมุ่นแล้วในอุปาทาน ผู้รู้ผู้เห็น
ความดับแห่งอุปาทานตามความเป็นจริง ดูก่อนท่าน แม้ข้อนี้ก็เป็นปริยาย
ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ปัญหาข้อนั้น.
[786] ท่านพระสารีบุตรถามว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ก็ปริยาย
แม้อื่นอึก ซึ่งเป็นเหตุให้พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ปัญหาข้อนั้น
พึงมีหรือ ท่านพระมหาโกฏฐิตะตอบว่า พึงมีท่าน คือ ความเห็นว่าสัตว์
เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อม

เกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ย่อมเกิดมีแก่บุคคลผู้มีตัณหา
เป็นที่มายินดี ผู้ยินดีแล้วในตัณหา ผู้หมกมุ่นแล้วในตัณหา ผู้ไม่รู้ไม่เห็น
ความดับแห่งตัณหาตามความเป็นจริง.
[787] ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ความเห็นว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่
ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หา
มิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ย่อมไม่เกิดมีแก่บุคคลผู้ไม่มีตัณหาเป็นที่มา
ยินดี ผู้ไม่ยินดีแล้วในตัณหา ผู้ไม่หมกมุ่นแล้วในตัณหา ผู้รู้ผู้เห็น
ความดับแห่งตัณหาตามความเป็นจริง ดูก่อนเท่านี้ผู้มีอายุ ข้อนี้แลเป็น
ปริยายให้พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ปัญหาข้อนี้.
. ดูก่อนท่าน ก็ปริยายแม้อื่นซึ่งเป็นเหตุให้พระผู้มีพระภาคเจ้า
ไม่ทรงพยากรณ์ปัญหาข้อนี้ พึงมีหรือ.
. ดูก่อนท่าน บัดนี้ ท่านยังปรารถนาอะไรในปัญหาข้อนี้ยิ่งขึ้น
ไปกว่านี้อีก ดูก่อนท่านสารีบุตร วัตรเพื่อบัญญัติย่อมไม่มีแก่ภิกษุผู้พ้น
วิเศษแล้วเพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา.
จบ จตุตถสารีปุตตโกฏฐิตสูตรที่ 6

7. โมคคัลลานสูตร



ว่าด้วยวัจฉโคตรปริพาชกถามปัญหาพระโมคคัลลานะ



[788] ครั้งนั้นแล วัจฉโคตรปริพาชกเข้าไปหาท่านพระมหา
โมคคัลลานะถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระมหาโมคคัลลานะ ครั้นผ่าน
การปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้น