2. อนุราธสูตร
1ว่าด้วยพระอนุราธะพยากรณ์ปัญหา
[762] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ในป่า
มหาวัน ใกล้กรุงเวสาลี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระอนุราธะก็อยู่ในกุฏีในป่า
ที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้งนั้นแล พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นเป็น
อันมาก เข้าไปหาท่านพระอนุราธะถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระอนุราธะ
ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วจึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้ถามท่านพระอนุราธะว่า ดูก่อนท่านอนุราธะพระตถาคตผู้เป็น
อุดมบุรุษ ผู้เป็นบรมบุรุษ ทรงบรรลุถึงธรรมอันควรบรรลุอย่างยอดเยี่ยม
แล้ว เมื่อจะทรงบัญญัติข้อนั้น ย่อมทรงบัญญัติในฐานะทั้ง 4 นี้ คือ
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีก สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่เกิด
อีก สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็มี ไม่เกิดอีกก็มี หรือว่าสัตว์
เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ ท่าน
พระอนุราธะตอบว่า ดูก่อนท่านทั้งหลาย พระตถาคตผู้เป็นอุดมบุรุษ ผู้
เป็นบรมบุรุษ ทรงบรรลุถึงธรรมอันควรบรรลุอย่างยอดเยี่ยมแล้ว เมื่อ
จะทรงบัญญัติข้อนั้น ย่อมทรงบัญญัตินอกจากฐานะทั้ง 4 นี้ คือ สัตว์
เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีก สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่เกิดอีก
สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็มี ไม่เกิดอีกก็มี หรือว่าสัตว์เบื้องหน้า
แต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้.
1. อนุราธสูตรที่ 2 ไม่มีอรรถกถาแก้.
[763] เมื่อท่านพระอนุราธะกล่าวอย่างนี้แล้ว พวกปริพาชกผู้ถือ
ลัทธิอื่นเหล่านั้นได้กล่าวกะท่านพระอนุราธะว่า ก็ภิกษุรูปนี้ชะรอยจักเป็น
ภิกษุใหม่ บวชแล้วไม่นาน หรือเป็นพระเถระแต่หากเป็นพระเขลา ไม่
ฉลาด ครั้งนั้นแล พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นเหล่านั้น ได้รุกรานท่าน
พระอนุราธะด้วยวาทะว่าเป็นภิกษุใหม่และด้วยวาทะว่าเป็นพระเขลา แล้ว
ได้พากันลุกขึ้นจากอาสนะหลีกไป เมื่อพวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นเหล่านั้น
หลีกไปแล้วไม่นาน ท่านพระอนุราธะได้มีความคิด ดังนี้ว่า ถ้าว่าพวก
ปริพาชกเหล่านั้นพึงถามยิ่งขึ้นไป เราจะพยากรณ์แก่พวกปริพาชกผู้ถือ
ลัทธิอื่นเหล่านั้นอย่างไรหนอ จึงจะเป็นอันกล่าวตามพระดำรัสที่พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสแล้ว จะไม่กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคำไม่จริง และ
พยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งสหธรรมิกไรๆ ผู้คล้อยตามวาทะ จะ
ไม่ถึงฐานะอันวิญญูชนพึงติเตียนได้.
[764] ครั้งนั้นแล ท่านพระอนุราธะได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระองค์อยู่ที่กุฏีในป่าในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ครั้งนั้น พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นเป็น
อันมาก ได้เข้าไปหาข้าพระองค์ถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับข้าพระองค์ ครั้น
ผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว. จึงได้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้วได้ถามข้าพระองค์ว่า ก่อนท่านอนุราธะ พระตถาคตผู้เป็นอุดมบุรุษ
เป็นบรมบุรุษ ทรงบรรลุถึงธรรมอันควรบรรลุอย่างยอดเยี่ยมแล้ว เมื่อ
ทรงบัญญัติข้อนั้น ย่อมทรงบัญญัติในฐานะทั้ง 4 นี้ คือ สัตว์เบื้องหน้า
แต่ตายแล้วย่อมเกิดอีก ฯลฯ หรือว่าสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีก
ก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพวก
ปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นเหล่านั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ข้าพระองค์ได้ตอบเขา
เหล่านั้นว่า ดูก่อนท่านทั้งหลาย พระตถาคตผู้เป็นอุดมบุรุษ. เป็นบรมบุรุษ
ทรงบรรลุถึงธรรมอันควรบรรลุอย่างยอดเยี่ยมแล้ว เมื่อทรงบัญญัติข้อนั้น
ย่อมทรงบัญญัตินอกจากฐานะทั้ง 4 นี้ คือ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว
ย่อมเกิดอีก ฯลฯ หรือว่าสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้
ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์กล่าว
อย่างนี้แล้ว พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นเหล่านั้นได้กล่าวกะข้าพระองค์ว่า ก็
ภิกษุรูปนี้ชะรอยจักเป็นภิกษุใหม่ บวชแล้วไม่นาน หรือว่าเป็นพระเถระ
แต่หากเป็นพระเขลา ไม่ฉลาด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกปริพาชกผู้ถือ
ลัทธิอื่นเหล่านั้น ได้รุกรานข้าพระองค์ด้วยวาทะว่าเป็นภิกษุใหม่ และ
ด้วยวาทะว่าเป็นพระเขลา แล้วได้พากันลุกขึ้นจากอาสนะหลีกไป ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นเหล่านั้นหลีกไปแล้วไม่นาน
ข้าพระองค์ได้มีความคิดว่า ถ้าพวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นเหล่านั้นพึงถาม
เรายิ่งขึ้นไปไซร้ เราจะพยากรณ์แก่พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นเหล่านั้น
อย่างไรจึงจะเป็นอันกล่าวตามพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว จะ
ไม่กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคำไม่จริง และพยากรณ์ธรรมสมควรแก่
ธรรม ทั้งสหธรรมิกไรๆ ผู้คล้อยตามวาทะ จะไม่ถึงฐานะอันวิญญูชน
พึงติเตียนได้ ดังนี้ พระเจ้าข้า.
[765] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอนุราธะ เธอจะ
สำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน. รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง. ท่านพระอนุราธะ
กราบทูลว่าไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า.
อ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดาควร
หรือหนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่านั่นของเรา เราเป็นนั้นนั่นเป็นตัวตนของเรา.
อ. ไม่ควรเลย พระเจ้าข้า.
พ. เวทนา. . .สัญญา. . .สังขาร. . .วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง.
อ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า.
อ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดาควร
หรือหนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั้น นั่นเป็นตัวตน
ของเรา.
อ. ไม่ควรเลย พระเจ้าข้า.
[766] พ. ดูก่อนอนุราธะ เพราะเหตุนั้นแล รูปอย่างใด
อย่างหนึ่งทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน เป็นภายในก็ดี เป็นภายนอก
ก็ดี หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี เลวก็ดี ประณีตก็ดี อยู่ในที่ไกลก็ดี ในที่ใกล้
ก็ดี รูปนั้นทั้งหมด เธอพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เวทนา. . .
สัญญา. . .สังขาร. . .วิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งที่เป็นอดีต
อนาคตและปัจจุบัน เป็นภายในก็ดี เป็นภายนอกก็ดี หยาบก็ดี ละเอียด
ก็ดี เลวก็ดี ประณีตก็ดี อยู่ในที่ไกลก็ดี ในที่ใกล้ก็ดี เวทนา. . .
สัญญา. . . สังขาร . . . วิญญาณทั้งหมด ท่านพึง เห็นด้วยปัญญาอันชอบ
ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตน
ของเรา ดูก่อนอนุราธะ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อ
หน่ายทั้งในรูป ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในเวทนา ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในสัญญา
ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในสังขาร ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย
ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว
ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์
อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
ดังนี้.
[767] ดูก่อนอนุราธะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอ
ย่อมเห็นรูปว่าเป็นสัตว์หรือ.
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เธอเห็นเวทนาว่าเป็นสัตว์หรือ.
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เธอเห็นสัญญาว่าเป็นสัตว์หรือ.
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เธอเห็นสังขารว่าเป็นสัตว์หรือ.
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เธอเห็นวิญญาณว่าเป็นสัตว์หรือ.
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
[768] พ. ดูก่อนอนุราธะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
เธอย่อมเห็นว่าสัตว์ในรูปหรือ.
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เธอเห็นว่าสัตว์อื่นจากรูปหรือ.
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เธอเห็นว่า สัตว์ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ
หรือ.
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เธอเห็นว่า สัตว์อื่นจากเวทนา จากสัญญา จากสังขาร จาก
วิญญาณหรือ.
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
[769] พ. ดูก่อนอนุราธะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
เธอเห็นรูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นสัตว์หรือ.
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
[770] พ. ดูก่อนอนุราธะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
เธอเห็นว่า สัตว์นี้ไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสังขาร ไม่มี
วิญญาณหรือ.
อ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนอนุราธะ ก็เธอหาสัตว์ในขันธ์ 4 นี้ โดยจริง โดยแท้
ไม่ได้ในปัจจุบัน ควรหรือที่เธอจะพยากรณ์ว่า ดูก่อนท่านทั้งหลาย ตถาคต
ผู้เป็นอุดมบุรุษ ผู้เป็นบรมบุรุษรบรรลุถึงธรรมอันควรบรรลุอย่างยอดเยี่ยม
แล้ว เมื่อบัญญัติข้อนั้น ย่อมบัญญัตินอกจากฐานะทั้ง 4 นี้ คือ สัตว์
เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีก ฯลฯ หรือว่าสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อม
เกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ ดังนี้.
อ. ไม่ควรเลย พระเจ้าข้า.
พ. สาธุ สาธุ อนุราธะ ดูก่อนอนุราธะ ในกาลก่อนด้วย ใน
บัดนี้ด้วย เราย่อมบัญญัติทุกข์และความดับแห่งทุกข์.
จบ อนุราธสูตรที่ 2
3. ปฐมสารีปุตตโกฏฐิตสูตร
ว่าด้วยพระโกฏฐิตะถามปัญหาพระสารีบุตร
[771] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโกฏฐิตะ
อยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเย็น
ท่านพระมหาโกฏฐิตะออกจากที่หลีกเร้น ได้เข้าไปหาท่านพระสารีบุตร
ถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้
ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่าน