เมนู

10. อัพยากตสังยุต



1. เขมาเถรีสูตร



ว่าด้วยพระเขมาเถรีพยากรณ์ปัญหา



[752] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหาร
เชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล
พระเขมาภิกษุณีเมื่อเที่ยวจาริกไปในแคว้นโกศล เข้าอยู่ ณ ที่โตรณ
วัตถุ1 ในระหว่างกรุงสาวัตถีกับเมืองสาเกต ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล
เสด็จออกจากเมืองสาเกตจะไปยังกรุงสาวัตถี ประทับแรม 1 ราตรีที่
โตรณวัตถุ ระหว่างกรุงสาวัตถีกับเมืองสาเกต ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิ-
โกศลตรัสเรียกราชบุรุษคนหนึ่งมาตรัสว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ท่านจงไปดู
ให้รู้ว่า ณ ที่โตรณวัตถุมีสมณะหรือพราหมณ์ซึ่งสมควรที่เราจะพึงเข้าไปหา
ณ วันนี้หรือไม่ ราชบุรุษนั้นทูลรับพระดำรัสของพระเจ้าปเสนทิโกศลแล้ว
เที่ยวไปยังโตรณวัตถุจนทั่ว ก็ไม่ได้พบเห็นสมณะหรือพราหมณ์ซึ่งสมควร
ที่พระเจ้าปเสนทิโกศลจะพึงเสด็จเข้าไปหา.
[753] ราชบุรุษนั้นได้พบพระเขมาภิกษุณี ซึ่งเข้าอาศัยอยู่
ที่โตรณวัตถุ ครั้นพบแล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศลถึงที่ประทับ
ครั้นแล้วได้กราบทูลพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า พระพุทธเจ้าข้า ที่โตรณวัตถุ
ไม่มีสมณะหรือพราหมณ์ซึ่งสมควรที่พระองค์จะพึงเสด็จเข้าไปหาเลย มี
1. โตรณแปลว่าเสาค่าย หรือเสาระเนียด ณ ที่นี้เข้าใจว่าเป็นค่าย

ภิกษุณีนามว่าเขมา เป็นสาวิกาของพระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมา-
สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น และพระแม่เจ้านั้นมีกิตติศัพท์อันงามฟุ้งขจรไป
แล้วอย่างนี้ว่า พระแม่เจ้าเขมาภิกษุณีเป็นบัณฑิต เฉียบแหลม มีปัญญา
เป็นพหูสูต มีถ้อยคำไพเราะ มีปฏิภาณเป็นอย่างดี ขอเชิญพระองค์เสด็จ
เข้าไปหาพระแม่เจ้านั้นเถิด ขอเดชะ.
[754] ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไปหาพระเขมา
ภิกษุณีถึงที่อยู่ ทรงไหว้พระเขมาภิกษุณีแล้ว ประทับอยู่ ณ ที่สมควร
ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ตรัสถามพระเขมาภิกษุณีว่า ข้าแต่แม่เจ้า สัตว์
เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดหรือหนอ. พระเขมาภิกษุณีถวายพระพรว่า
ขอถวายพระพร ปัญหานี้เป็นปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงพยากรณ์.
. ข้าแต่แม่เจ้า ก็สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมไม่เกิดอีกหรือ.
. ขอถวายพระพร แม้ปัญหานี้ก็เป็นปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ไม่ทรงพยากรณ์.
. ข้าแต่แม่เจ้า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็มี ย่อม
ไม่เกิดอีกก็มีหรือหนอ.
. ขอถวายพระพร ปัญหานี้เป็นปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่
ทรงพยากรณ์.
. ข้าแต่แม่เจ้า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้
ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้หรือ.

. ขอถวายพระพร แม้ปัญหานี้ก็เป็นปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ไม่ทรงพยากรณ์อีกเหมือนกัน.
[755] . เมื่อข้าพเจ้าถามว่า ข้าแต่แม่เจ้า สัตว์เบื้องหน้า
แต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกหรือ ท่านก็ตอบว่า ขอถวายพระพร ปัญหานี้
เป็นปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ เมื่อข้าพเจ้าถามว่า ข้าแต่
แม่เจ้า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมไม่เกิดอีกหรือ ท่านก็ตอบว่า
ขอถวายพระพร แม้ปัญหานี้ก็เป็นปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรง
พยากรณ์ เมื่อข้าพเจ้าถามว่า ข้าแต่แม่เจ้า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว
ย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มีหรือ ท่านก็ตอบว่า ขอถวายพระพร
ปัญหานี้เป็นปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ เมื่อข้าพเจ้าถามว่า
ข้าแต่แม่เจ้า สัตว์เบื้องหน้าแต่งกายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีก
ก็หามิได้หรือ ท่านก็ตอบว่า ขอถวายพระพร แม้ปัญหานี้ก็เป็นปัญหา
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ ข้าแต่แม่เจ้า อะไรเล่าเป็นเหตุเป็น
ปัจจัย ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ปัญหานี้.
[756] . ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น อาตมภาพจักขอย้อน
ถามมหาบพิตรในปัญหาข้อนี้บ้าง ปัญหาข้อนี้พอพระทัยมหาบพิตรอย่างใด
มหาบพิตรพึงทรงพยากรณ์ปัญหาข้อนี้อย่างนั้นเกิด ขอถวายพระพร
มหาบพิตรจะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน มหาบพิตรมีนักคำนวณ นัก
ประเมินหรือนักประมาณไร ๆ ซึ่งสามารถจะคำนวณทรายในแม่น้ำคงคาว่า
ทรายมีประมาณเท่านี้ หรือว่ามีทรายเท่านี้ ร้อยเม็ด หรือว่ามีทรายเท่านี้
พันเม็ด หรือว่ามีทรายเท่านี้แสนเม็ด หรือไม่.

. ไม่มีเลย แม่เจ้า
. และมหาบพิตรนักคำนวณ นักประเมิน หรือนักประมาณไรๆ
ซึ่งสามารถจะคำนวณน้ำในมหาสมุทรว่า น้ำมีเท่านี้อาฬหกะ หรือว่ามีน้ำ
เท่านี้ร้อยอาฬหกะ หรือว่ามีน้ำเท่านี้พันอาฬหกะ หรือว่ามีน้ำเท่านี้แสน
อาฬหกะ หรือไม่ ขอถวายพระพร.
. ไม่มีเลย แม่เจ้า.
. นั่นเพราะเหตุไร ขอถวายพระพร.
. ข้าแต่แม่เจ้า เพราะว่ามหาสมุทรเป็นของลึก ประมาณไม่ได้
หยั่งถึงได้โดยยาก.
[757] . ฉันนั้นนั่นแล มหาบพิตร บุคคลเมื่อจะบัญญัติสัตว์
พึงบัญญัติด้วยรูปใด รูปนั้นอันพระตถาคตละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว กระทำ
ให้ไม่มีที่ตั้ง ดุจตาลยอดด้วน กระทำไม่ให้มีไม่ให้เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา
ดูก่อนมหาบพิตร พระตถาคตพ้นจากการบัญญัติว่าเป็นรูป เป็นของลึก
ประมาณไม่ได้ หยั่งถึงได้โดยยาก ดุจมหาสมุทรฉะนั้น คำว่า สัตว์เบื้องหน้า
แต่ตายแล้วย่อมเกิด. อีกก็ดี ย่อมไม่เกิดอีกก็ดี ย่อมเกิดและไม่เกิดอีกก็ดี
ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ย่อมไม่ควร เมื่อบุคคล
บัญญัติสัตว์ พึงบัญญัติด้วยเวทนาใด. . . เมื่อบัญญัติสัตว์ พึงบัญญัติด้วย
สัญญาใด. . .เมื่อบัญญัติสัตว์ พึงบัญญัติด้วยสังขารเหล่าใด
เมื่อบัญญัติสัตว์ พึงบัญญัติด้วยวิญญาณใดวิญญาณนั้น อันพระตถาคตละได้
แล้ว ตัดรากขาดแล้ว กระทำให้ไม่มีที่ตั้ง ดุจตาลยอดด้วน กระทำไม่ให้มี

ไม่ให้เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดาดูก่อนมหาบพิตร พระตถาคตพ้นแล้วจากการ
บัญญัติว่าเป็นวิญญาณ เป็นของลึก ประมาณไม่ได้ หยั่งถึงได้โดยยาก
ดุจมหาสมุทรฉะนั้น คำว่าสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดก็ดี ย่อมไม่
เกิดก็ดี ย่อมเกิดอีกและไม่เกิดอีกก็ดี ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีก
ก็หามิได้ก็ดี ก็ย่อมไม่ควร.
ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงยินดี อนุโมทนาภาษิตของ
พระเขมาภิกษุณี เสด็จลุกจากอาสนะ ทรงไหว้พระเขมาภิกษุณีทรงกระทำ
ประทักษิณแล้วเสด็จจากไป.
[758] สมัยต่อมา พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปเฝ้าพระผู้มี-
พระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ทรงอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ประทับ
ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกหรือ พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาที่อาตมภาพ
ไม่พยากรณ์.
. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมไม่เกิดอีก
หรือ.
. ขอถวายพระพร แม้ปัญหาข้อนี้ก็เป็นปัญหาที่อาตมภาพไม่
พยากรณ์เหมือนกัน.
. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็มี
ย่อมไม่เกิดอีกก็มีหรือ.

. ขอถวายพระพรปัญหาข้อนี้ เป็นปัญหาที่อาตมภาพไม่พยากรณ์
. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีก
หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้หรือ.
. ขอถวายพระพร แม้ปัญหาข้อนี้ก็เป็นปัญหาที่อาตมภาพไม่
พยากรณ์อีกนั่นแหละ.
. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์ทูลถามว่า สัตว์เบื้องหน้า
แต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกหรือ พระองค์ก็ตรัสตอบว่า ขอถวายพระพร ปัญหา
ข้อนี้เป็นปัญหาที่อาตมภาพไม่พยากรณ์ ฯลฯ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อ
ข้าพระองค์ทูลถามว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อม
ไม่เกิดอีก ก็หามิได้หรือ พระองค์ก็ตรัสตอบว่า ขอถวายพระพร แม้ปัญหา
ข้อนี้ก็เป็นปัญหาที่อาตมภาพไม่พยากรณ์อีกนั่นแหละ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อะไรเล่าเป็นเหตุเป็นปัจจัยไห้พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่พยากรณ์ปัญหาข้อนั้น
[759] . ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น อาตมภาพจักย้อนถาม
มหาบพิตรในปัญหาข้อนั้นบ้าง ปัญหาข้อนั้นพอพระทัยมหาบพิตรอย่างใด
มหาบพิตรพึงทรงพยากรณ์ปัญหาข้อนั้นอย่างนั้นเถิด ขอถวายพระพร
มหาบพิตรจะทรงสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน มหาบพิตรทรงมีนักคำนวณ
นักประเมิน หรือนักประมาณไรๆ ซึ่งสามารถจะคำนวณเม็ดทรายในแม่น้ำ
คงคาว่า เม็ดทรายมีประมาณเท่านี้ ฯลฯ หรือว่ามีทรายประมาณเท่านี้
แสนเม็ดหรือไม่.
. ไม่มีเลย พระเจ้าข้า.

. และมหาบพิตรทรงมีนักคำนวณ นักประเมิน หรือนัก
ประมาณไร ๆ ซึ่งสามารถจะคำนวณน้ำในมหาสมุทรว่า มีน้ำเท่านี้ อาฬหกะ
ฯลฯ หรือว่ามีน้ำเท่านี้ แสนอาฬหกะหรือไม่.
. ไม่มีเลย พระเจ้าข้า.
. ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร มหาบพิตร.
. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะว่ามหาสมุทรเป็นของลึกประมาณ
ไม่ได้ หยั่งถึงได้โดยยาก พระเจ้าข้า.
[760] . ฉันนั้นนั่นแล มหาบพิตร บุคคลเมื่อจะบัญญัติสัตว์
พึงบัญญัติด้วยรูปใด รูปนั้นอันตถาคตละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว กระทำ
ให้ไม่มีที่ตั้ง ดุจตาลยอดด้วน กระทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา
ดูก่อนมหาบพิตร ตถาคตพ้นจากการบัญญัติว่าเป็นรูป เป็นของลึก
ประมาณไม่ได้ หยั่งถึงได้โดยยากดุจมหาสมุทรฉะนั้น คำว่าสัตว์เบื้องหน้า
แต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็ดี ย่อมไม่เกิดอีกก็ดี ย่อมเกิดอีกและไม่เกิดอีกก็ดี
ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ย่อมไม่ควร บุคคลเมื่อจะ
บัญญัติสัตว์ พึงบัญญัติด้วยเวทนาใด . . . เมื่อบัญญัติสัตว์ พึงบัญญัติด้วย
สัญญาใด . . . เมื่อบัญญัติสัตว์ พึงบัญญัติด้วยสังขารเหล่าใด. . . เมื่อ
บัญญัติสัตว์ พึงบัญญัติด้วยวิญญาณใด วิญญาณนั้นอันตถาคตละได้แล้ว
ตัดรากขาดแล้ว กระทำให้ไม่มีที่ตั้ง ดุจตาลยอดด้วน กระทำไม่ให้มีไม่ให้
เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา ดูก่อนมหาบพิตร ตถาคตพ้นแล้วจากการ
บัญญัติว่าเป็นวิญญาณ เป็นของลึก ประมาณไม่ได้ หยั่งถึงได้โดยยาก

ดุจมหาสมุทร ฉะนั้น คำว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีก
ย่อมไม่เกิดอีกก็ดี ย่อมเกิดอีกและไม่เกิดอีกก็ดี ย่อมเกิดอีกก็หามิได้
ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ย่อมไม่ควร.
[761] . อัศจรรย์จริง พระเจ้าข้า ไม่เคยมี พระเจ้าข้า ใน
ข้อที่อรรถกับอรรถ พยัญชนะกับพยัญชนะ ของพระศาสดากับของสาวิกา
ย่อมเทียบกันได้ เข้ากันได้ ไม่ผิดเพี้ยนในบทที่สำคัญ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
สมัยหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าได้ไปหาพระเขมาภิกษุณี ไต่ถามความข้อนี้มา
ครั้งหนึ่งแล้ว แม้แม่เจ้ารูปนั้นก็ได้พยากรณ์ความข้อนี้ด้วยบทเหล่านี้ ด้วย
พยัญชนะเหล่านี้ แก่ข้าพระพุทธเจ้า ดุจพระผู้มีพระภาคเจ้าเหมือนกัน
น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า ไม่เคยมีมา. พระเจ้าข้า นี้ข้อที่อรรถกับอรรถ
พยัญชนะกับพยัญชนะ ของพระศาสดากับของสาวก ย่อมเทียบกันได้
เข้ากันได้ ไม่ผิดเพี้ยนในบทที่สำคัญ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้า
มีกิจมาก มีกรณียมาก ถ้ากระไร จึงขอทูลลาไปในบัดนี้.
. ขอถวายพระพร บัดนี้ มหาบพิตรทรงทราบกาลอันสมควรเถิด
ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงยินดีอนุโมทนาพระภาษิตของพระผู้มี-
พระภาคเจ้าเสด็จลุกขึ้นจากอาสนะ ทรงอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า กระทำ
ประทักษิณแล้วเสด็จกลับไป.
จบ เขมาเถรีสูตรที่ 1

อรรถกถาอัพยากตสังยุต



อรรถกถาเขามาเถรีสูตรที่ 1



อัพยากตสังยุต สูตรที่ 1 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า เขมา ได้แก่อุบาสิกาของพระเจ้าพิมพิสาร เวลาเป็นคฤหัสถ์
เป็นคนมีศรัทธา บวชแล้วเป็นพระมหาเถรี ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งไว้
ในเอตทัคคะทางมีปัญญามาก โดยพระพุทธพจน์อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย บรรดาภิกษุณีสาวิกาของเราผู้มีปัญญามาก ภิกษุณีเขมาเป็นยอด
บทว่า ปณฺฑิตา ได้แก่ประกอบด้วยความเป็นบัณฑิต. บทว่า พฺยตฺตา
ได้แก่ประกอบด้วยความเป็นผู้เฉียบแหลมบทว่า เมธาวินี ได้แก่ประกอบด้วย
ปัญญาเครื่องกำจัดกิเลส. บทว่า พหุสฺสุตา ได้แก่ประกอบด้วยความ
เป็นพหูสูต ทั้งทางปริยัตติ ทั้งทางปฏิเวธ.
บทว่า คณโก ได้แก่เป็นผู้ฉลาดคำนวณสิ่งที่ไม่แยกกัน ( นับ
ประมวล). บทว่า มุทฺทิโก ได้แก่เป็นผู้ฉลาดคำนวณด้วยแหวนมีอยู่ที่
นิ้วมือ (นับประเมิน). บทว่า สํขายโก ได้แก่เป็นผู้ฉลาดคำนวณสิ่งที่
เป็นก้อน (นับประมาณ ) บทว่า คมฺภีโร ได้แก่ลึกแปดหมื่นสี่พันโยชน์.
บทว่า อปฺปเมยฺโย ได้แก่ประมาณโดยคำนวณเป็นอาฬหกะไม่ได้. บทว่า
ทุปฺปรโยคาโห ได้แก่หยั่งลงเพื่อถือเอาประมาณโดยคำนวณเป็นอาฬหกะ
ได้ยาก. บทว่า เยน รูเปน ตถาคตํ ความว่า พึงบัญญัติตถาคตกล่าวคือ
สัตว์ว่า สูง ต่ำ ดำ ขาว ดังนี้ ด้วยรูปใด. บทว่า ตํ รูปํ ตถา-