เมนู

10. มณิจูฬกสูตร



ว่าด้วยทองและเงินไม่สมควรแก่สมณศากยบุตร



[623] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหาร
เวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน ใกล้กรุงราชคฤห์. ก็สมัยนั้นแล เมื่อราช
บริษัทนั่งประชุมกันในพระราชวังสนทนากันว่า ทองและเงินย่อมควร
แก่สมณศากยบุตร สมณศากยบุตรย่อมยินดีทองสละเงิน ย่อมรับทอง
และเงิน.
[624] ก็สมัยนั้นแล นายบ้านนามว่ามณิจูฬกะนั่งอยู่ในบริษัท
นั้น นายบ้าน นามว่ามณิจูฬกะได้กล่าวกะบริษัทนั้นว่า ท่านผู้เจริญย่อมไม่
กล่าวอย่างนี้ ทองและเงินไม่ควรแก่สมณศากยบุตร สมณศากยบุตรย่อมไม่
ยินดีทองและเงิน ย่อมไม่รับทองและเงิน สมณศากยบุตรห้ามแก้วและทอง
ปราศจากทองและเงิน นายบ้านมณิจูฬกะไม่อาจให้บริษัทนั้นยินยอมได้.
[625] ครั้งนั้น นายบ้านมณิจูฬกะจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค-
เจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้าง
หนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
เมื่อราชบริษัทนั่งประชุมกันในพระราชวังสนทนากันว่า ทองและเงิน
ย่อมควรแก่สมณศากยบุตร สมณศากยบุตรย่อมยินดีทองและเงิน เมื่อ
ราชบริษัทกล่าวอย่างนี้ ข้าพระองค์ได้กล่าวกะบริษัทนั้นว่า ท่านผู้เจริญ
อย่าได้กล่าวอย่างนี้ ทองและเงินย่อมไม่ควรแก่สมณศากยบุตร สมณ-
ศากยบุตรย่อมไม่ยินดีทองและเงิน ย่อมไม่รับทองและเงิน สมณศากยบุตร

ห้ามแก้วและทอง ปราศจากทองและเงิน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์
ไม่อาจให้บริษัทนั้นยินยอมได้ เมื่อข้าพระองค์พยากรณ์อย่างนี้ เป็นอัน
กล่าวตามคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว จะไม่กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ด้วยคำไม่จริง และพยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรม และสหธรรมิกไร ๆ
คล้อยตามวาทะ จะไม่ถึงฐานะอันวิญญูชนพึงติเตียนได้แลหรือ พระเจ้าข้า.
[626] พระผู้มีพระภาค จ้าตรัสว่า ดีละ นายคามณี เมื่อท่าน
พยากรณ์อย่างนี้ เป็นอันกล่าวตามคำที่เรากล่าวแล้ว ไม่กล่าวตู่เราด้วยคำ
ไม่จริง และพยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรม และสหธรรมิกไร ๆ คล้อย
ตามวาทะ จะไม่ถึงฐานะอันวิญญูชนพึงติเตียนได้. เพราะว่าทองและเงิน
ไม่ควรแก่สมณศากยบุตร สมณศากยบุตรย่อมไม่ยินดีทองและเงิน สมณ
ศากยบุตรห้ามแก้วและทอง ปราศจากทองและเงิน. ดูก่อนนายคามณี
ทองและเงินควรแก่ผู้ใด เบญจกามคุณก็ควรแก่ผู้นั้น เบญจกามคุณควร
แก่ผู้ใด ทองและเงินก็ควรแก่ผู้นั้น ดูก่อนนายคามณีท่านพึงทรงจำความ
ที่ควรแก่เบญจกามคุณนั้นโดยส่วนเดียวว่า ไม่ใช่ธรรมของสมณะ ไม่ใช่
ธรรมของศากยบุตร อนึ่งเล่า เรากล่าวอย่างนี้ว่า ผู้ต้องการหญ้าพึงแสวง
หาหญ้า ผู้ต้องการไม้พึงแสวงหาไม้ ผู้ต้องการเกวียนพึงแสวงหาเกวียน
ผู้ต้องการบุรุษพึงแสวงหาบุรุษ เรามิได้กล่าวว่า สมณศากยบุตรพึงยินดี
พึงแสวงหาทองและเงินโดยปริยายอะไรเลย.
จบ มณิจูฬกสูตรที่ 10

อรรถกถามณิจูฬกสูตรที่ 10



ในมณิจูฬกสูตรที่ 10 พึงทราบวินิจฉัย ดังต่อไปนี้.
บทว่า ตํ ปริสํ เอตทโวจ ความว่า ได้ยินว่า นายบ้านนามว่า
มณิจูฬกะนั้นได้มีความคิดว่า กุลบุตรทั้งหลายเมื่อบวช ย่อมละบุตรและ
ภรรยา ทองและเงินก่อนแล้วจึงบวช แลเขาเหล่านั้นครั้นละแล้วบวช จึง
ไม่อาจรับทองและเงินนั้นได้. นายบ้านนั้นมีความยึดถือเป็นพิเศษ จึงได้
กล่าวคำเป็นต้นว่า มา อยฺยา ดังนี้. บทว่า. เอกํเสเนตํ ความว่า
ท่านพึงทรงจำความที่ควรแก่กามคุณห้านั้น โดยส่วนเดียวว่า ไม่ใช่ธรรม.
ของสมณะ ไม่ใช่ธรรมของศากยบุตร. บทว่า ติณํ ได้แก่หญ้ามุงเสนาสนะ.
บทว่า ปริเยสิตพฺพํ ความว่า เมื่อเรือนที่มุงด้วยหญ้า หรือมุงด้วยอิฐพัง
พึงไปยังสำนักของผู้ที่ทำเรือนนั้น บอกว่า เสนาสนะที่ท่านทำ ฝนรั่ว.
เราไม่อาจอยู่ในเสนาสนะนั้นได้. มนุษย์ทั้งหลายเมื่อทำได้ก็จักทำให้ เมื่อ
ทำไม่ได้ก็จักบอกว่า พวกท่านจงหานายช่างให้ทำ พวกเราจักให้สัญญากะ
นายช่างเหล่านั้น ครั้นให้นายช่างที่บอกไว้อย่างนั้นทำเสร็จแจ้ว พึงบอก
แก่มนุษย์เหล่านั้น พวกมนุษย์จักให้ค่าจ้างแก่พวกนายช่าง. ถ้าไม่มี
เจ้าของที่อยู่อาศัย ภิกษุผู้ประพฤติภิกขาจารวัตร ควรบอกแม้แก่คนอื่น ๆ
ให้ทำ. บทว่า ปริเยสิตพฺพํ ตรัสหมายข้อความดังนี้. บทว่า ทารุํ
ความว่า เมื่อไม้กลอนหลังคาเป็นต้นในเสนาสนะพัง พึงแสวงหาไม้เพื่อ
ซ่อมแซมสิ่งนั้น. บทว่า สกฏํ ได้แก่เกวียนชั่วคราวเท่านั้น ทำให้แปลก
จากของคฤหัสถ์ มิใช่แต่เกวียนอย่างเดียวเท่านั้น แม้อุปกรณ์อื่น ๆ มีมีด