เมนู

บทว่า อหาริอปริหาริ ความว่า ใส่น้ำไม่ได้ นำน้ำไปไม่ได้ ขังน้ำไม่ได้.
ในพระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสการแสดงธรรมโดยเคารพ ด้วย
ประการฉะนี้. ความจริงการแสดงธรรมโดยไม่เคารพ ย่อมไม่มี
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ด้วยว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงมีความประพฤติ
เหมือนราชสีห์ ราชสีห์ เมื่อจับช้างพลายที่ตกมันก็ดี จับสัตว์เล็กๆ
กระต่ายและแมวเป็นต้นก็ดี ย่อมใช้ความเร็วเท่ากันทั้งนั้น ฉันใด
พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ฉันนั้น เมื่อทรงแสดงธรรมแก่ผู้ฟังคนเดียวก็ตาม
ทรงแสดงแก่ผู้ฟังสองคน มากคน แก่ภิกษุบริษัท ภิกษุณีบริษัท อุบาสก
บริษัทและอุบาสิกาบริษัทก็ตาม แก่พวกเดียรถีย์ก็ตาม ย่อมทรงแสดง
โดยเคารพทั้งนั้น. ทั้งบริษัท ก็มีศรัทธากำหนดใจฟัง ดังนั้นการแสดง
แก่บริษัทสี่เหล่านั้น จึงชื่อว่าแสดงโดยเคารพ.
จบ อรรถกถาเทศนาสูตรที่ 7

8. อสังขาสูตร



ว่าด้วยการฆ่าสัตว์ต้องไปอบายตกนรกเป็นต้น



[608] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ปาวาริก-
อัมพวัน ใกล้เมืองนาฬันทา ครั้งนั้นแล นายบ้านนามว่าอสิพันธกบุตร
สาวกของนิครณถ์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคม
พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว พระผู้มี-
พระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนนายคามณี นิครณฐนาฏบุตรแสดงธรรมแก่

พวกสาวกอย่างไร อสิพันธกบุตรทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นิครณฐ-
นาฏบุตรแสดงธรรมแก่พวกสาวกอย่างนี้ว่า ผู้ที่ฆ่าสัตว์ต้องไปอบายตกนรก
ทั้งหมด ผู้ที่ลักทรัพย์ต้องไปอบายตกนรกทั้งหมด ผู้ที่ประพฤติผิดในกาม
ต้องไปอบายตกนรกทั้งหมด ผู้ที่พูดเท็จต้องไปอบายตกนรกทั้งหมด กรรม
ใด ๆ มาก กรรมนั้น ๆ ย่อมนำบุคคลไปนิครณฐนาฏบุตรย่อมแสดงธรรม
แก่พวกสาวกอย่างนี้แล พระเจ้าข้า.
[609] . ดูก่อนนายคามณี ก็นิครณฐนาฏบุตรแสดงธรรม
แก่พวกสาวกว่า กรรมใด ๆ มาก กรรมนั้น ๆ ย่อมนำบุคคลไป เมื่อเป็น
เช่นนั้น ใคร ๆ จักไม่ไปอบาย ตกนรก ตามคำของนิครณฐนาฏบุตร
ดูก่อนนายคามณี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษฆ่าสัตว์รวมทั้ง
สมัยและไม่ใช่สมัย ทั้งกลางคืนและกลางวัน สมัยที่เขาฆ่าสัตว์ หรือสมัย
ที่เขาไม่ฆ่าสัตว์ สมัยไหนมากกว่ากัน.
คา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุรุษฆ่าสัตว์รวมทั้งสมัย และมิใช่สมัย
ทั้งกลางคืนและกลางวัน สมัยที่เขาฆ่าสัตว์น้อยกว่า สมัยที่เขาไม่ได้ฆ่าสัตว์
มากกว่าพระเจ้าข้า.
. ดูก่อนนายคามณี ก็นิครณฐนาฏบุตรแสดงธรรมแก่พวกสาวก
ว่า กรรมใด ๆ มาก กรรมนั้น ๆ ย่อมนำบุคคลนั้นไป เมื่อเป็นเช่นนั้น
ใคร ๆ จักไม่ไปอบาย ตกนรก ตามคำของนิครณฐนาฏบุตร.
[610] ดูก่อนนายคามณี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
บุรุษลักทรัพย์รวมทั้งสมัยและมิใช่สมัย ทั้งกลางวันและกลางคืน สมัยที่
เขาลักทรัพย์ หรือสมัยที่เขาไม่ได้ลักทรัพย์ สมัยไหนมากกว่ากัน.

คา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญบุรุษลักทรัพย์รวมทั้งสมัยและมิใช่สมัย
ทั้งกลางคืนและกลางวัน สมัยที่เขาลักทรัพย์น้อยกว่า ส่วนสมัยที่เขามิได้
ลักทรัพย์มากกว่า พระเจ้าข้า.
. ดูก่อนนายคามณี ก็นิครณฐนาฏบุตรแสดงธรรมแก่พวกสาวก
ว่า กรรมใดๆ มาก กรรมนั้นๆ ย่อมนำบุคคลนั้นไป เมื่อเป็นเช่นนั้น
ใครๆ จักไม่ไปอบาย ตกนรก ตามคำของนิครณฐนาฏบุตร.
[611] ดูก่อนนายคามณี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
บุรุษประพฤติผิดในกามรวมทั้งสมัยและมิใช่สมัย ทั้งกลางคืนและกลางวัน
สมัยที่เขาประพฤติผิดในกาม หรือ สมัยที่เขามิได้ประพฤติผิด ในกาม สมัย
ไหนมากกว่ากัน.
คา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุรุษประพฤติผิดในกามรวมทั้งสมัย
และมิใช่สมัย ทั้งกลางคืนและกลางวัน สมัยที่เขาประพฤติผิดในกามนั้น
น้อยกว่า ส่วนสมัยที่เขามิได้ประพฤติผิดในกามนั้นมากกว่า พระเจ้าข้า
. ดูก่อนนายคามณี ก็นิครณฐนาฏบุตรแสดงธรรมแก่พวกสาวก
ว่า กรรมใด ๆ มาก กรรมนั้น. ๆ ย่อมนำบุคคลไป เมื่อเป็นเช่นนั้น ใครๆ
จักไม่ไปอบาย ตกนรก ตามคำของนิครณฐนาฏบุตร.
[612] ดูก่อนนายคามณี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
บุรุษพูดเท็จรวมทั้งสมัยและมิใช่สมัย ทั้งกลางคืนและกลางวัน สมัยที่เขา
พูดเท็จ หรือสมัยที่เขามิได้พูดเท็จ สมัยไหนมากกว่ากัน

คา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุรุษพูดเท็จรวมทั้งสมัยและมิใช่สมัย
ทั้งกลางคืนและกลางวัน สมัยที่เขาพูดเท็จนั้นน้อยกว่า ส่วนสมัยที่เขามิได้
พูดเท็จนั้นมากกว่า พระเจ้าข้า.
. ดูก่อนนายคามณี ก็นิครณฐนาฏบุตรแสดงธรรมแก่พวกสาวก
กรรมใด ๆ มาก กรรมนั้น ๆ ย่อมนำบุคคลนั้นไป เมื่อเป็นเช่นนั้น ใครๆ
จักไม่ไปอบาย ตกนรก ตามคำของนิครณฐนาฏบุตร.
[613] ดูก่อนนายคามณี ศาสดาบางท่านในโลกนี้ มักพูดอย่างนี้
มักเห็นอย่างนี้ว่า ผู้ฆ่าสัตว์ต้องไปอบายตกนรกทั้งหมด ผู้ที่ลักทรัพย์ต้องไป
อบายตกนรกทั้งหมด ผู้ทั้งประพฤติผิดในกามต้องไปอบายตกนรกทั้งหมด
ผู้ที่พูดเท็จต้องไปอบายตกนรกทั้งหมด.
[614] ดูก่อนนายคามณี สาวกที่เลื่อมใสในศาสดานั้น ย่อมมี
ความคิดอย่างนี้ว่า ศาสดาของเรากล่าวอย่างนี้ เห็นอย่างนี้ว่า ผู้ที่ฆ่าสัตว์
ต้องไปอบายตกนรกทั้งหมด สาวกของศาสดานั้นกลับได้ความเห็นว่า สัตว์
ที่เราฆ่ามีอยู่ แม้เราก็ต้องไปอบาย ต้องตกนรก เขายังไม่ละวาจานั้น
ยังไม่ละความคิดนั้น ยังไม่สละความเห็นนั้น ย่อมตั้งอยู่ในนรก เหมือน
ถูกนำมาขังไว้ ฉะนั้น ( สาวกของศาสดานั้นมีความคิดอย่างนี้ว่า ) ศาสดา
ของเรากล่าวอย่างนี้ เห็นอย่างนี้ว่า ผู้ที่ลักทรัพย์ต้องไปอบายตกนรกทั้งหมด
สาวกของศาสดานั้นกลับได้ความเห็นว่าทรัพย์ที่เราลักมีอยู่ แม้เราก็ต้องไป
อบาย ต้องตกนรก เขายังไม่ละวาจานั้น ยังไม่ละความคิดนั้น ยังไม่ละ
ความเห็นนั้น ย่อมตั้งอยู่ในนรก เหมือนถูกนำมาขังไว้ ฉะนั้น ศาสดา
ของเรากล่าวอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า ผู้ที่ประพฤติผิดในกามต้องไป

อบายตกนรกทั้งหมด สาวกของศาสดานั้นกลับได้ความเห็นว่า กาเมสุมิจ-
ฉาจารที่เราประพฤติมีอยู่ แม้เราต้องไปอบาย ต้องตกนรก เขายังไม่ละ
วาจานั้น ยังไม่ละความคิดนั้น ยังไม่สละความเห็นนั้น ย่อมตั้งอยู่ในนรก
เหมือนถูกนำมาขังไว้ ฉะนั้น ศาสดาของเรากล่าวอย่างนี้ มีความเห็น
อย่างนี้ว่า ผู้ที่พูดเท็จต้องไปอบายตกนรกทั้งหมด สาวกของศาสดานั้นกลับ
ได้ความเห็นว่า คำเท็จที่เราพูดมีอยู่ แม้เราต้องไปอบาย ต้องตกนรก เขา
ยังไม่ละวาจานั้น ยังไม่ละความคิดนั้น ยังไม่สละความเห็นนั้น ย่อมตั้งอยู่
ในนรก เหมือนถูกนำมาขังไว้ ฉะนั้น.

ว่าด้วยพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงศีล 5



[615] ดูก่อนนายคามณี ก็พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็น
สารถีผู้ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์
ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้มีโชค เสด็จอุบัติขึ้นในโลกนี้ ตถาคต
นั้นทรงตำหนิติเตียนปาณาติบาต และตรัสว่า จงงดเว้นจากปาณาติบาต
ทรงตำหนิติเตียนอทินนาทานและตรัสว่า จงงดเว้นจากอทินนาทาน ทรง
ตำหนิติเตียนกาเมสุมิจฉาจาร และตรัสว่าจงงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร
ทรงตำหนิติเตียนมุสาวาท และตรัสว่า จงงดเว้นจากมุสาวาท โดยอเนก
ปริยาย สาวกเป็นผู้เลื่อมใสในพระศาสดานั้น ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตำหนิติเตียนปาณาติบาตโดยอเนกปริยาย และตรัส
ว่า จงงดเว้นจากปาณาติบาต ก็สัตว์ที่เราฆ่ามีอยู่มากมาย ข้อที่เราฆ่าสัตว์