เมนู

อรรถกถาทุติยอิสิทัตตสูตรที่ 3



พึงทราบวินิจฉัยในทุติยอิสิทัตตสูตรที่ 3 ตังต่อไปนี้
บทว่า อวนฺติยา คือในอวันตีชนบท. บทว่า กลฺยาณํ วุจฺจติ
ความว่า ท่านอิสิทัตตะย่อมกล่าวด้วยประสงค์ว่า ข้าแต่อุบาสกอุบาสิกา
ทั้งหลาย คำอันหมดโทษ ไม่มีโทษ อันท่านกล่าวว่าข้าพเจ้าจักบำรุงด้วย
ปัจจัยทั้งหลาย 4.
จบ อรรถกถาทุติอิสิทัตตะสูตรที่ 3

4. มหกสูตร



ว่าด้วยอิทธาภิสังขาร



[554] สมัยหนึ่ง ภิกษุผู้เถระมากรูปอยู่ที่อัมพาฏกวัน ใกล้ราว
ป่ามัจฉิกาสณฑ์ ครั้งนั้นแล จิตตคฤหบดีได้เข้าไปหาภิกษุผู้เถระทั้งหลาย
ไหว้แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้อาราธนาว่า ข้าแต่ท่าน
ทั้งหลายผู้เจริญ ขอพระเถระทั้งหลายจงรับภัตตาหารที่โรงโคของข้าพเจ้า
ในวันพรุ่งนี้ ภิกษุผู้เถระทั้งหลายได้รับอาราธนาโดยดุษณีภาพ ครั้งนั้นแล
จิตตคฤหบดีทราบการรับอาราธนาของภิกษุผู้เถระทั้งหลายแล้ว ลุกจากที่
นั่งไหว้ทำประทักษิณแล้วจากไป.
[555] ครั้งนั้นแล พอล่วงราตรีนั้นไป เป็นเวลาเช้า ภิกษุผู้
เถระทั้งหลายนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปยังโรงโคของจิตตคฤหบดี ได้
นั่ง ณ อาสนะที่ได้ตกแต่งไว้ ครั้งนั้นแล จิตตคฤหบดี ได้อังคาสภิกษุผู้

เถระทั้งหลายให้อิ่มหนำสำราญเพียงพอ ด้วยข้าวปายาสเจือด้วยเนยใส
อย่างประณีต ด้วยมือของตนเอง ครั้งนั้นแล ภิกษุผู้เถระทั้งหลายฉันเสร็จ
แล้ว ลดมืดจากบาตร ลุกจากอาสนะแล้วจากไป แม้จิตตคฤหบดีได้สั่งทาส
กรรมกรว่า พวกท่านจงทิ้งส่วนที่เหลือเสีย แล้วจึงได้ตามไปส่งภิกษุผู้เถระ
ทั้งหลายข้างหลัง ๆ ก็โดยสมัยนั้นแล ได้เกิดร้อนจัด ภิกษุผู้เถระทั้งหลาย
ได้เดินไปด้วยกายที่คล้ายกับจะหดเข้าฉะนั้น ( จะเปื่อย ) ทั้งที่ได้ฉัน
โภชนะอิ่มแล้ว.
[556] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระมหกะเป็นผู้อ่อนกว่าทุกรูป
ในภิกษุสงฆ์หมู่นั้น ครั้งนั้นแล ท่านพระมหกะได้พูดกะพระเถระผู้เป็น
ประธานว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เป็นการดีทีเดียวที่พึงมีลมเย็นพัดมา และ
พึงมีแดดอ่อน ทั้งฝนพึงโปรยลงมาทีละเม็ด ๆ พระเถระกล่าวว่า ท่านมหกะ
เป็นการดีทีเดียวที่พึงมีลมเย็นพัดมา และพึงมีแดดอ่อน ทั้งฝนพึงโปรย
ลงมาทีละเม็ดๆ ครั้งนั้นแล ท่านพระมหกะได้บันดาลอิทธาภิสังขารให้มี
ลมเย็นพัดมา และมีแดดอ่อน ทั้งให้มีฝนโปรยลงมาทีละเม็ด ๆ.
[557] ครั้งนั้นแล จิตตคฤหบดีได้คิดว่า ภิกษุผู้อ่อนกว่าทุกรูป
ในภิกษุสงฆ์หมู่นี้ เป็นผู้มีฤทธานุภาพเห็นปานนี้ทีเดียว ครั้งนั้นแล ท่าน
พระมหกะไปถึงอารามแล้ว ได้ถามพระเถระผู้เป็นประฐานว่า ข้าแต่ท่าน
ผู้เจริญ การบันดาลอิทธาภิสังขารเท่านี้เป็นการเพียงพอหรือ. พระเถระ
ผู้เป็นประธานได้กล่าวว่า ท่านมหกะ การบันดาลอิทธาภิสังขารเท่านี้เป็น
การเพียงพอ ท่านมหกะ การบันดาลอิทธาภิสังขารเพียงเท่านี้ เป็นอันเรา
ทำแล้ว เป็นอันเราบูชาแล้ว. ครั้งนั้นแล ภิกษุผู้เถระทั้งหลายได้ไปตาม
ที่อยู่ แม้ท่านมหกะก็ได้ไปยังที่อยู่ของตน ครั้งนั้นแล จิตตคฤหบดีเข้าไป

หาท่านพระมหกะถึงที่อยู่ ไหว้แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
ได้ขอร้องว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอพระคุณเจ้ามหกะจงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์
ที่เป็นอุตตริมนุสสธรรมแก่ข้าพเจ้าเถิด. ท่านพระมหกะพูดว่า ดูก่อนคฤหบดี
ถ้าเช่นนั้น ท่านจงปูผ้าห่มที่ระเบียง แล้วจงเอาฟ่อนหญ้ามาโปรยลงที่ผ้า
นั้น. จิตตคฤหบดีได้รับคำท่านพระมหกะแล้วจึงปูผ้าห่มที่ระเบียง แล้วเอา
ฟ่อนหญ้ามาโปรยลงที่ผ้านั้น.
ครั้งนั้นแล ท่านพระมหกะได้เข้าไปสู่วิหารใส่ลูกดานแล้วบันดาล
อิทธาภิสังขารให้เปลวไฟแลบออกมาโดยช่องลูกดานและระหว่างลูกดาน
ไหม้หญ้า ไม่ไหม้ผ้าห่ม. ครั้งนั้น จิตตคฤหบดีได้สลัดผ้าห่มแล้ว สลดใจ
(ตกใจ ) ชนลุกชัน ได้ยินอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ลำดับนั้นแล
ท่านพระมหกะได้ออกจากวิหาร ได้ถามจิตตคฤหบดีว่า ดูก่อนคฤหบดี
การบันดาลอิทธาภิสังขารเท่านี้ เป็นการเพียงพอหรือ. จิตตคฤหบดีได้
กล่าวว่า ท่านมหกะผู้เจริญ การบันดาลอิทธาภิสังขารเท่านี้เป็นการเพียงพอ
ท่านมหกะผู้เจริญ การบันดาลอิทธาภิสังขารเพียงเท่านี้ เป็นอันท่านกระทำ
แล้ว เป็นอันท่านบูชาแล้ว ขอพระคุณเจ้ามหกะจงชอบใจอัมพาฏกวนาราม
ที่น่ารื่นรมย์ใกล้ราวป่ามัจฉิกาสณฑ์เถิด ข้าพเจ้าจักบำรุงด้วยจีวร บิณฑบาต
เสนาสนะ. และคิลานเภสัชบริขาร. ท่านพระมหกะได้กล่าวว่า ดูก่อน
คฤหบดี นั้นท่านกล่าวดีแล้ว ครั้งนั้นแล ท่านพระมหกะได้เก็บเสนาสนะ
ถือบาตรและจีวรเดินทางออกจากราวป่าชื่อมัจฉิกาสณฑ์ ไม่ได้กลับมาอีก
เหมือนกับภิกษุรูปอื่น ๆ ที่เดินทางจากไป ฉะนั้น.
จบ มหกสูตรที่ 4

อรรถกถามหกสูตรที่ 4



พึงทราบวินิจฉัยในมหกสูตรที่ 4 ดังต่อไปนี้.
บทว่า เสสกํ วิสฺสชฺเชถ ความว่า ได้ยินว่าพวกอุบาสกและ
อุบาสิกากับด้วยพระเถระทั้งหลายนั้นแล เช็ดถาดสัมฤทธิ์แล้วคดข้าวปายาส
ให้แก่จิตตคฤหบดีนั้น จิตตคฤหบดีนั้นบริโภคข้าวปายาสเสร็จแล้ว ใคร่
จะไปกับด้วยพระเถระทั้งหลายนั้นแล จึงคิดว่า อุบาสิกาจัดส่วนที่-
เหลืออยู่ในเรือนก่อน ส่วนทาสและกรรมกรในเรือนนี้ ไม่ถูกเราว่าแล้ว
จักในช่วยจัด ข้าวปายาสอันประณีตนี้ จักเสียไปด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้
เมื่ออนุญาต จึงกล่าวอย่างนี้ แก่พระเถระเหล่านั้น. บทว่า กุฏฺฐิตํ
คือ แห้ง อธิบายว่า ข้างล่างร้อนจัดด้วยทรายร้อนและข้างบนร้อนจัด
ด้วยแดด ก็บทนี้เป็นบทไม่เจือปนในพระพุทธพจน์ คือ พระไตรปิฎก.
บทว่า ปเวลิยมาเนน คือความหดหู่. บทว่า สาธุ ขฺวสฺส ภนฺเต ความว่า
พระมหกะคิดว่า เราจักทำความอยู่ผาสุกแก่พระเถระเหล่านั้น จึงกล่าว
อย่างนี้.
บทว่า อิทฺธาภิสงฺขารํ อภิสงฺขริ ได้แก่ ได้บันดาลฤทธิ์ด้วยการ
อธิษฐาน. ในการบันดาลฤทธิ์นี้ ย่อมมีบริกรรมต่าง ๆ อย่างนี้ว่า ขอลม
เย็นอ่อน ๆ จงพัดมา ขอฝนตั้งเค้าแล้ว จงโปรยลงมาทีละเม็ด ๆ ดังนี้
การอธิษฐานรวมกันอย่างนี้ว่า ขอฝนพร้อมด้วยลม จงตกเถิดดังนี้ก็มี
การอธิษฐานต่าง ๆ ว่า บริกรรมรวมกันว่า ขอฝนพร้อมด้วยลม จงตกเถิด
ขอลมเย็นอ่อน ๆ จงพัดมา ขอฝนตั้งเค้าแล้ว จงโปรยลงมาทีละเม็ดๆ