เมนู

[106] ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ท่านพระฉันนะจงเยียวยา
อัตภาพให้เป็นไปเถิด เราทั้งหลายปรารถนาให้ท่านพระฉันนะเยียวยา
อัตภาพให้เป็นไปอยู่ ถ้าโภชนะเป็นที่สบายมิได้มีแก่ท่านพระฉันทะ ผมจัก
แสวงหามาให้ ถ้าเภสัชเป็นที่สบายมิได้มีแก่ท่านพระฉันนะ ผมจักแสวง
หามาให้ ถ้าพวกอุปัฏฐากที่สมควรมิได้มีแก่ท่านพระฉันนะ ผมจักอุปัฏฐาก
เอง ท่านพระฉันนะอย่านำศาตรามาเลย จงเยียวยาอัตภาพให้เป็นไปเถิด
เราทั้งหลายปรารถนาให้ท่านพระฉันนะเยียวยาอัตภาพให้เป็นไปอยู่ ท่าน
พระฉันนะกล่าวว่า ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร โภชนะเป็นที่สบายของกระผม
มิใช่ไม่มี โภชนะเป็นที่สบายของกระผมมีอยู่ แม้เภสัชเป็นที่สบายของ
กระผมก็มิใช่ไม่มี เภสัชเป็นที่สบายของกระผมมีอยู่ แม้อุปัฏฐากที่สมควร
ของกระผมมิใช่ไม่มี อุปัฏฐากที่สมควรของกระผมมีอยู่ ก็พระศาสดา
อันกระผมบำเรอแล้วด้วยอาการเป็นที่พอใจอย่างเดียว. ไม่บำเรอด้วยอาการ
เป็นที่ไม่พอใจตลอดกาลนานมา ข้อที่พระสาวกบำเรอพระศาสดาด้วย
อาการเป็นที่พอใจ ไม่บำเรอด้วยอาการเป็นที่ไม่พอใจ นี้สมควรแก่
พระสาวก ความบำเรอนั้นไม่เป็นไป ฉันนภิกษุจักนำศาตรามา ข้าแต่
ท่านพระสารีบุตร ขอท่านจงทรงจำความนี้ไว้อย่างนี้ ดังนี้เถิด.

ว่าด้วยการถามปัญหาฉันนภิกษุ


[107] สา. เราทั้งหลายขอถามปัญหาบางข้อกะท่านพระฉันนะ
ถ้าท่านพระฉันนะให้โอกาสเพื่อจะแก้ปัญหา.
ฉ. ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร นิมนต์ถามเถิด กระผมฟังแล้วจักให้
ทราบ.

สา. ท่านพระฉันนะ ท่านย่อมพิจารณาเป็นจักษุ จักษุวิญญาณ
และธรรมทั้งหลายที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุวิญญาณว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น
นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯลฯ ท่านย่อมพิจารณาเห็นใจ มโนวิญญาณ และ
ธรรมทั้งหลายที่พึงรู้แจ้งด้วยมโนวิญญาณว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น
นั่นเป็นตัวตนของเรา ดังนี้หรือ.
ฉ . ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร กระผมย่อมพิจารณาเห็นจักษุ จักษุ
วิญญาณและธรรมทั้งหลายที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุวิญญาณว่า นั่นไม่ใช่ของเรา
เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่เป็นตัวตนของเรา ฯลฯ กระผมย่อมพิจารณาเห็นใจ
มโนวิญญาณ และธรรมทั้งหลายที่พึงรู้แจ้งด้วยมโนวิญญาณว่า นั่นไม่ใช่
ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่เป็นตัวตนของเรา.
[108] สา. ดูก่อนท่านพระฉันนะ ท่านเห็นอย่างไร รู้อย่างไร
ในจักษุ ในจักษุวิญญาณ และในธรรมทั้งหลายที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุวิญญาณ
จึงพิจารณาเห็นจักษุ จักษุวิญญาณ และธรรมทั้งหลายที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ
วิญญาณว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่เป็นตัวตนของเรา
ฯลฯ ท่านเห็นอย่างไร รู้อย่างไรในใจ ในมโนวิญญาณ และในธรรม
ทั้งหลายที่พึงรู้แจ้งด้วยมโนวิญญาณ จึงพิจารณาเห็นใจ มโนวิญญาณ
และธรรมทั้งหลายที่พึงรู้แจ้งด้วยมโนวิญญาณว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เรา
ไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่เป็นตัวตนของเรา.
[109] ฉ. ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร กระผมเห็นความดับ รู้
ความดับ ในจักษุ ในจักษุวิญญาณ และในธรรมทั้งหลายที่พึงรู้แจ้งด้วย
จักษุวิญญาณ จึงพิจารณาเห็นจักษุ จักษุวิญญาณ และธรรมทั้งหลายที่

พึงรู้แจ้งด้วยจักษุวิญญาณว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัว
ตนของเรา ฯลฯ กระผมเห็นความดับ ในใจ ในมโนวิญญาณ และใน
ธรรมทั้งหลายที่พึงรู้แจ้งด้วยมโนวิญญาณ จึงพิจารณาเห็นใจ มโนวิญญาณ
และธรรมทั้งหลายที่พึงรู้แจ้งด้วยมโนวิญญาณว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เรา
ไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.
[110] เมื่อท่านพระฉันนะกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระมหาจุนทะ
ได้กล่าวกะท่านพระฉันนะว่า ดูก่อนท่านพระฉันนะ เพราะเหตุนั้นแล
แม้ความพิจารณาเห็นนี้ เป็นคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ท่านพึงทำไว้ในใจให้ดีตลอดกาลเป็นนิตย์ไป ความหวั่นไหวของบุคคลที่มี
ตัณหา มานะและทิฏฐิอาศัยอยู่ ยังมีอยู่ ความหวั่นไหวย่อมไม่มีแก่บุคคลที่
ไม่มีตัณหา มานะและทิฏฐิอาศัยอยู่ เมื่อความหวั่นไหวไม่มี ย่อมมีปัสสัทธิ
เมื่อมีปัสสัทธิ ก็ไม่มีความเพลิดเพลิน เมื่อไม่มีความเพลิดเพลิน ความมา
ความไปก็ไม่มี เมื่อความมาความไปไม่มี จุติและอุปบัติก็ไม่มี เมื่อจุติ
และอุปบัติไม่มี โลกนี้และโลกหน้าก็ไม่มี และระหว่างโลกทั้งสองก็ไม่มี
นี้แหละเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหา
จุนทะ ครั้นกล่าวสอนท่านพระฉันนะด้วยโอวาทนี้แล้ว ลุกจากอาสนะ
หลีกไป ครั้นเมื่อท่านทั้งสองหลีกไปแล้วไม่นาน ท่านพระฉันนะก็นำ
ศาตรามาฆ่าตัวตาย.
[111] ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระ-

ฉันนะนำศาตรามาฆ่าตัวตายแล้ว ท่านมีคติและอภิสัมปรายภพเป็นอย่างไร
พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนสารีบุตร ฉันนภิกษุ
พยากรณ์คุณเครื่องเป็นผู้ไม่มัสกุลที่พึงเข้าไปหาแล้วต่อหน้าเธอมิใช่หรือ.
สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วัชชีคามอันมีชื่อว่า บุพพวิชชนะมีอยู่
ท่านฉันนะมีสกุลที่เป็นมิตรสกุลที่เป็นสหายสกุลพึงเข้าไปหาอยู่ในวัชชีคาม
นั้น.
ฉ. ดูก่อนสารีบุตร ก็สกุลที่เป็นมิตรสกุลที่เป็นสหายสกุลที่พึง
เข้าไปหาเหล่านั้นมีอยู่ แต่เราไม่กล่าวว่า ฉันนภิกษุมีสกุลที่ตนพึงเข้าไปหา
ด้วยเหตุเท่านั้นเลย ภิกษุใดแล ทอดทิ้งกายนี้ด้วย ยึดถือกายอื่นด้วย
เราเรียกภิกษุนั้นว่า มีสกุลที่พึงเข้าไปหา สกุลนั้นย่อมไม่มีแก่ฉันนะภิกษุ
ฉันนภิกษุนำศาตรามาฆ่าตัวตาย ไม่มีสกุลที่พึงเข้าไปหา ดูก่อนสารีบุตร
เธอพึงทรงจำความนี้ไว้อย่างนี้ดังนี้เถิด.
จบ ฉันนสูตรที่ 4

อรรถกถาฉันนสูตรที่ 4


ในฉันนสูตรที่ 4 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ฉนฺโน ได้แก่พระเถระผู้มีชื่ออย่างนั้น. ไม่ใช่พระเถระผู้
ออกไปครั้งเสด็จมหาภิเนษกรมณ์. บทว่า ปฏิสลฺลานา ได้แก่ จากผล-
สมาบัติ. บทว่า คิลานปุจฺฉกา ได้แก่ผู้บำรุงภิกษุไข้. ชื่อว่า การบำรุง
ภิกษุไข้ อันพระพุทธเจ้าสรรเสริญแล้ว อันพระพุทธเจ้าชมเชยแล้ว
เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวอย่างนั้น. บทว่า สีสเวฐํ ทเทยฺย ความว่า
ผ้าโพกศีรษะ ชื่อว่า สีสเวฐนะ และพึงให้ผ้าโพกศีรษะนั้น บทว่า สตฺถํ