เมนู

ทั้งหลาย ก็อะไรไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย ก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปไม่ใช่
ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละรูปนั้นเสีย รูปนั้นอันเธอทั้งหลาย
ละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข เวทนา ฯลฯ สัญญา
ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละ
วิญญาณนั้นเสีย วิญญาณนั้นอันเธอทั้งหลายละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อ
ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข ก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดไม่ใช่ของเธอ
ทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละสิ่งนั้นเสีย สิ่งนั้นอันเธอทั้งหลายละได้
แล้วจักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข.
จบ นตุมหากสูตรที่ 2

อรรถกถานตุมหากสูตรที่ 2



นตุมหากสูตรที่ 2

เว้นผู้ทำการตรัสรู้ด้วยอุปมา ก็ตรัสตามอัธยาศัย.
จบ อรรถกถานตุมหากสูตรที่ 2

3. ภิกขุสูตรที่ 1



ว่าด้วยเหตุได้ชื่อว่าเป็นผู้กำหนัดขัดเคืองและลุ่มหลง



[74] กรุงสาวัตถี . ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ขอประทานวโรกาส พระเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรม
แก่ข้าพระองค์โดยย่อ ที่ข้าพระองค์ฟังแล้ว พึงเป็นผู้ผู้เดียวหลีกออก
จากหมู่ ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจมั่นคงอยู่เถิด.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ บุคคลย่อมครุ่นคิดถึง
สิ่งใด ย่อมถึงการนับเพราะสิ่งนั้น บุคคลย่อมไม่ครุ่นคิดถึงสิ่งใด ย่อมไม่
ถึงการนับเพราะสิ่งนั้น.
ภิ. ข้าแต่่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์เข้าใจแล้ว ข้าแต่
พระสุคต ข้าพระองค์เข้าใจแล้ว.
พ. ดูก่อนภิกษุ ก็เธอเข้าใจเนื้อความแห่งคำที่เรากล่าวโดยย่อ
ได้โดยพิสดารอย่างไร.
ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าบุคคลครุ่นคิดถึงรูป ย่อมถึงการ
นับเพราะรูปนั้น ถ้าครุ่นคิดถึงเวทนา ฯลฯ ถ้าครุ่นคิดถึงสัญญา ฯลฯ
ถ้าครุ่นคิดถึงสังขาร ฯลฯ ถ้าครุ่นคิดถึงวิญญาณย่อมถึงการนับเพราะ
วิญญาณนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าบุคคลไม่ครุ่นคิดถึงรูป ก็ไม่ถึง
การนับเพราะรูปนั้น ถ้าไม่ครุ่นคิดถึงเวทนา ฯลฯ ถ้าไม่ครุ่นคิดถึง
สัญญา ฯลฯ ถ้าไม่ครุ่นคิดถึงสังขาร ฯลฯ ถ้าไม่ครุ่นคิดถึงวิญญาณ
ก็ไม่ถึงการนับเพราะวิญญาณนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์
เข้าใจเนื้อความแห่งพระภาษิตที่พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วโดยย่อได้โดย
พิสดารอย่างนี้แล.
[75] พ. ถูกแล้ว ถูกแล้ว ภิกษุ เธอเข้าใจเนื้อความแห่งคำ
ที่เรากล่าวโดยย่อได้โดยพิสดารดีนักแล ดูก่อนภิกษุ ถ้าบุคคลครุ่นคิด
ถึงรูป ก็ย่อมถึงการนับเพราะรูปนั้น ถ้าบุคคลครุ่นคิดถึงเวทนา ฯลฯ
ถ้าครุ่นคิดถึงสัญญา ฯลฯ ถ้าครุ่นคิดถึงสังขาร ฯลฯ ถ้าครุ่นคิดถึง
วิญญาณ ก็ย่อมถึงการนับเพราะวิญญาณนั้น ดูก่อนภิกษุ ถ้าบุคคล
ไม่ครุ่นคิดถึงรูป ก็ย่อมไม่ถึงการนับเพราะรูปนั้น ถ้าไม่ครุ่นคิดถึง
เวทนา ฯลฯ ถ้าไม่ครุ่นคิดถึงสัญญา ฯลฯ ถ้าไม่ครุ่นคิดถึงสังขาร

ฯลฯ ถ้าไม่ครุ่นคิดถึงวิญญาณ ก็ย่อมไม่ถึงการนับเพราะวิญญาณนั้น
ดูก่อนภิกษุ เธอพึงเห็นเนื้อความแห่งคำที่เรากล่าวโดยย่อ โดยพิสดาร
อย่างนี้แล.
[76] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปนั้นเพลิดเพลินอนุโมทนาพระภาษิต
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ลุกจากอาสนะ ถวายบังคม กระทำประทักษิณ
แล้วหลีกไป ครั้งนั้นแล เธอได้เป็นผู้ผู้เดียว หลีกออกจากหมู่ ไม่ประมาท
มีความเพียร มีใจมั่นคงอยู่ ไม่นานเท่าไร ก็กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่ง
พรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือนบวชเป็น
บรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบัน
เข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ
ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ก็ภิกษุนั้นได้เป็น
พระอรหันต์องค์หนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย.
จบ ภิกขุสูตรที่ 1

อรรถกถาภิกขุสูตรที่ 1



ในภิกขุสูตรที่ 1 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า รูปญฺเจ ภนฺเต อนุเสติ ความว่า ครุ่นคิดถึงรูปอย่างใด
อย่างหนึ่ง. บทว่า เตน สงฺขํ คจฺฉติ ความว่า ครุ่นคิดถึงรูปนั้นด้วย
ความครุ่นคิดอันใดในกามราคะเป็นต้น ด้วยความครุ่นคิดนั้นนั่นแล
ย่อมถึงการนับคือบัญญัติว่า รักแล้ว โกรธแล้ว หลงแล้ว. บทว่า
น เตน สงฺขํ คจฺฉติ ความว่า ด้วยความครุ่นคิดอันไม่เป็นจริงนั้น ย่อม
ไม่ถึงการนับว่า รักแล้ว โกรธแล้ว หลงแล้ว.
จบ อรรถกถาภิกขุสูตรที่ 1