เมนู

10. สูจิมุขีสูตร



ว่าด้วยความแตกต่างการเลี้ยงชีวิตของสมณพราหมณ์



[518] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน-
กลันทกนิวาปสถาน กรุงราชคฤห์ ครั้งนั้น เป็นเวลาเช้า ท่านพระสารีบุตร
นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ เที่ยว
บิณฑบาต ตามลำดับตรอกในกรุงราชคฤห์ แล้วอาศัยเชิงฝาแห่งหนึ่ง
ฉันบิณฑบาตนั้น ครั้งนั้นนางปริพาชิกาชื่อสูจิมุขี เข้าไปหาท่าน-
พระสารีบุตรถึงที่อยู่ ครั้นแล้ว ได้กล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า
ดูก่อนสมณะ ท่านก้มหน้าฉันหรือ ? ท่านพระสารีบุตรตอบว่า
ดูก่อนน้องหญิง เรามิได้ก้มหน้าฉัน.
สู. ถ้าอย่างนั้น ท่านแหงนหน้าฉันหรือสมณะ ?
สา. เรามิได้แหงนหน้าฉันหรอกน้องหญิง.
สู. ถ้าอย่างนั้น ท่านมองดูทิศใหญ่ฉันหรือสมณะ ?
สา. เรามิได้มองดูทิศใหญ่ฉันหรอกน้องหญิง.
สู. ถ้าอย่างนั้น ท่านมองดูทิศน้อยฉันหรือสมณะ ?
สา. เรามิได้มองดูทิศน้อยฉันหรอกน้องหญิง.
สู. ดิฉันถามว่า ดูก่อนสมณะ ท่านก้มหน้าฉันหรือ ท่านก็
ตอบว่า เรามิได้ก้มหน้าฉันหรอกน้องหญิง ดิฉันถามว่า ถ้าอย่างนั้น
ท่านแหงนหน้าฉันหรือสมณะ ท่านก็ตอบว่า เรามิได้แหงนหน้าฉันหรอก

น้องหญิง ดิฉันถามว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านมองดูทิศใหญ่ฉันหรือสมณะ
ท่านก็ตอบว่า เราไม่ได้มองดูทิศใหญ่ฉันหรอก น้องหญิง ดิฉันถามว่า
ถ้าอย่างนั้น ท่านมองดูทิศน้อยฉันหรือสมณะ ท่านก็ตอบว่า เรามิได้
มองดูทิศน้อยฉันหรอกน้องหญิง ก็บัดนี้ ท่านฉันอย่างไรเล่าสมณะ.
สา. ดูก่อนน้องหญิง ก็สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
เลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพ เหตุดิรัจฉานวิชา คือ วิชาดูพื้นที่ สมณพราหมณ์
เหล่านี้เรียกว่า ก้มหน้าฉัน ดูก่อนน้องหญิง สมณพราหมณ์เหล่าใด
เหล่าหนึ่ง เลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพ เหตุดิรัจฉานวิชา คือ วิชาดูดาว
นักษัตร สมณพราหมณ์เหล่านี้เรียกว่า แหงนหน้าฉัน ดูก่อนน้องหญิง
สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพ เหตุประกอบ
การรับส่งข่าวสาส์น สมณพราหมณ์เหล่านี้เรียกว่า มองดูทิศใหญ่ฉัน
ดูก่อนน้องหญิง สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง เลี้ยงชีวิตด้วย
มิจฉาชีพ เหตุดิรัจฉานวิชา คือ วิชาทายองค์อวัยวะ สมณพราหมณ์
เหล่านี้เรียกว่า มองดูทิศน้อยฉัน ดูก่อนน้องหญิง ส่วนเรานั้นมิได้
เลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพ เหตุดิรัจฉานวิชา คือ วิชาตรวจพื้นที่ มิได้เลี้ยง
ชีวิตด้วยมิจฉาชีพ เหตุดิรัจฉานวิชา คือวิชาดูดาวนักษัตร มิได้เลี้ยง
ชีวิตด้วยมิจฉาชีพ เหตุประกอบการรับส่งข่าวสาส์น มิได้เลี้ยงชีวิต
ด้วยมิจฉาชีพ เหตุดิรัจฉานวิชา คือ วิชาทายองค์อวัยวะ (แต่) เรา
แสวงหาภิกษาโดยชอบธรรม ครั้นแสวงหาได้แล้วจึงฉัน.
ครั้งนั้น นางสูจิมุขีปริพาชิกาเข้าไปในกรุงราชคฤห์ จาก
ถนนหนึ่งไปอีกถนนหนึ่ง จากตรอกหนึ่งไปอีกตรอกหนึ่ง แล้วประกาศ
อย่างนี้ว่า ท่านสมณศากยบุตรทั้งหลายย่อมฉันอาหารอันประกอบ

ด้วยธรรม สมณศากยบุตรทั้งหลายย่อมฉันอาหารอันหาโทษมิได้
ขอเชิญท่านทั้งหลายถวายบิณฑบาตแก่สมณศากยบุตรทั้งหลายเถิด.
จบ สารีปุตตสังยุต

10. อรรถกถาสูจิมุขีสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในสูตรที่ 10 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สูจิมุขี คือ นางปริพาชิกาผู้มีชื่ออย่างนี้
บทว่า อุปสงฺกมิ ความว่า นางปริพาชิกานั้น เห็นพระเถระ
มีรูปสวย น่าดู มีผิวพรรณงดงามดังทองคำ ชวนให้เกิดความเลื่อมใส
ตลอดเวลา จึงเข้าไปหาด้วยคิดว่า เราจักทำการร่าเริงกับพระเถระนี้
คราทีนั้นเมื่อพระเถระปฏิเสธคำพูดนั้น นางจึงสำคัญอยู่ว่า บัดนี้
เราจักโต้วาทะกับพระเถระนั้น จึงกล่าวว่า สมณะ ถ้าอย่างนั้น
ท่านก็แหงนหน้าฉัน (แหงนหน้าหากิน) ละซี ?
บทว่า ทิสามุโข ได้แก่ หันหน้าสู่ทิศทั้ง 4. อธิบายว่า
มองดูทั้ง 4 ทิศ (ทิศใดทิศหนึ่ง).
บทว่า วิทิสามุโข ได้แก่ มองดูทิศเฉียงทั้ง 4 ทิศ.
บทว่า วตฺถุวิชฺชาติรจฺฉานวิชฺชาย ได้แก่ ดิรัจฉานวิชา
กล่าวคือ วิชาตรวจดูพื้นที่. อุบายเครื่องรู้ถึงเหตุที่ทำให้พื้นที่ทั้งหลาย
มีพื้นที่ปลูก น้ำเต้า ฟักเขียว และมัน เป็นต้น สมบูรณ์พูนผลชื่อว่า
วิชาดูพื้นที่.
บทว่า มิจฺฉาชีเวน ชีวิกํ กปฺเปนฺติ ความว่า เลี้ยงชีวิตด้วย
มิจฉาชีพ กล่าวคือดิรัจฉานวิชา ได้แก่ วิชาตรวจดูพื้นที่นั้นนั่นแล.