เมนู

ชิวหาสัมผัส ฯลฯ ในกายสัมผัส ฯลฯ ในมโนสัมผัส เป็นอุปกิเลสแห่งจิต
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล ภิกษุละอุปกิเลสแห่งจิตในฐานะ 6 นี้ได้
เมื่อนั้น จิตของเธอย่อมเป็นอันน้อมไปในเนกขัมมะ จิตอันเนกขัมมะ
อบรมแล้ว ย่อมปรากฏว่าควรแก่การงาน ในธรรมที่จะพึงทำให้แจ้ง
ด้วยอภิญญา.
จบ ผัสสสูตรที่ 4

5. เวทนาสูตร



ว่าด้วยอุปกิเลสแห่งจิต



[503] กรุงสาวัตถี. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำหนัดด้วย
อำนาจความพอใจในจักขุสัมผัสสชาเวทนา ฯลฯ ในโสตสัมผัสสชาเวทนา
ฯลฯ ในฆานสัมผัสสชาเวทนา ฯลฯ ในชิวหาสัมผัสสชาเวทนา ฯลฯ
ในกายสัมผัสสชาเวทนา ฯลฯ ในมโนสัมผัสสชาเวทนา เป็นอุปกิเลส
แห่งจิต ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล ภิกษุละอุปกิเลสแห่งจิตใน
ฐานะ 6 นี้ได้ เมื่อนั้น จิตของเธอย่อมเป็นอันน้อมไปในเนกขัมมะ
จิตอันเนกขัมมะอบรมแล้ว ย่อมปรากฏว่าควรแก่การงาน ในธรรมที่
พึงทำให้แจ้งด้วยอภิญญา.
จบ เวทนาสูตรที่ 5

6. สัญญาสูตร



ว่าด้วยอุปกิเลสแห่งจิต



[504 ] กรุงสาวัตถี. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำหนัดด้วย
อำนาจความพอใจในรูปสัญญา เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ความกำหนัดด้วย

อำนาจความพอใจในสัททสัญญา ฯลฯ ในคันธสัญญา ฯลฯ ในรสสัญญา
ฯลฯ ในโผฏฐัพพสัญญา ฯลฯ ในธรรมสัญญา เป็นอุปกิเลสแห่งจิต.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล ภิกษุละอุปกิเลสแห่งจิตในฐานะ 6 นี้ได้
เมื่อนั้น จิตของเธอย่อมเป็นอันน้อมไปในเนกขัมมะ จิตอันเนกขัมมะ
อบรมแล้ว ย่อมปรากฏว่าควรแก่การงาน ในธรรมที่พึงทำให้แจ้งด้วย
อภิญญา.
จบ สัญญาสูตรที่ 6

7. เจตนาสูตร



ว่าด้วยอุปกิเลสแห่งจิต



[505] กรุงสาวัตถี. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำหนัดด้วย
อำนาจความพอใจในรูปสัญเจตนา เป็นอุปกิเลสแห่งจิต ความกำหนัด
ด้วยอำนาจความพอใจในสัททสัญเจตนา ฯลฯ ในคันธสัญเจตนา ฯลฯ
ในรสสัญเจตนา ฯลฯ ในโผฏฐัพพสัญเจตนา ฯลฯ ในธรรมสัญเจตนา
เป็นอุปกิเลสแห่งจิต. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล ภิกษุละอุปกิเลส
แห่งจิตในฐานะ 6 นี้ได้ เมื่อนั้น จิตของเธอย่อมเป็นอันน้อมไปใน
เนกขัมมะ จิตอันเนกขัมมะอบรมแล้ว ย่อมปรากฏว่าควรแก่การงาน
ในธรรมที่พึงทำให้แจ้งด้วยอภิญญา.
จบ เจตนาสูตรที่ 7

8. ตัณหาสูตร



ว่าด้วยอุปกิเลสแห่งจิต



[506] กรุงสาวัตถี. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำหนัดด้วย