เมนู

บัดนี้ เมื่อจะให้ความหมายนั้นสำเร็จด้วยอุปมา พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสคำว่า เสยฺยถาปิ นาม เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุตฺตคุเฬ ได้แก่ กลุ่มด้ายที่กรอไว้
กำลังคลี่คลายออกไปนั่นเอง.
ด้วยบทว่า ปเลติ เจ้าลัทธิแสดงว่า กลุ่มด้ายที่วาง (เงื่อนหนึ่ง) ไว้
บนภูเขา หรือบนยอดไม้ แล้วขว้างไป จะคลี่คลายไปตามขนาด
(ความยาว) ของด้าย เมื่อด้ายหมดแล้ว ก็จะหยุดลงในที่นั้นแหละ
ไม่ไปต่อ ฉันใด พาลและบัณฑิตก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อแก้ไขไป
ก็จะสิ้นสุดความสุขความทุกข์ได้ ตามอำนาจกาลเวลา คือจะผ่านพ้น
สุขทุกข์ไปได้ ตามกาลเวลาดังกล่าวแล้ว.
จบ อรรถกถาสูตรที่ 8 ถึงสูตรที่ 10.

11. อันตวาสูตร



ว่าด้วยความเห็นว่าโลกมีที่สุด



[436] กรุงสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เมื่ออะไรมีอยู่ เพราะถือมั่นอะไร เพราะยึดมั่นอะไร
จึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่า โลกมีที่สุด. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลาย มีพระผู้มีพระภาคเจ้า
เป็นรากฐาน ฯลฯ เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า.
จบ อันตรวาสูตร

12. อนันตวาสูตร



ว่าด้วยความเห็นว่า โลกไม่มีที่สุด



[437] กรุงสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เมื่ออะไรมีอยู่ เพราะถือมั่นอะไร เพราะยึดมั่นอะไร
จึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่า โลกไม่มีที่สุด ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลาย มีพระผู้มีพระภาคเจ้า
เป็นรากฐาน ฯลฯ เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า.
จบ อนันตวาสูตร

13. ตังชีวังตังสรีรังสูตร



ว่าด้วยความเห็นว่า ชีพกับสรีระเป็นอันเดียวกัน



[438] กรุงสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เมื่ออะไรมีอยู่ เพราะถือมั่นอะไร เพราะยึดมั่นอะไร
จึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่า ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น ภิกษุทั้งหลายกราบทูล
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลายมีพระผู้มี-
พระภาคเจ้าเป็นรากฐาน ฯลฯ
เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า.
จบ ตังชีวังตังสรีรังสูตร

14. อัญญังชีวังอัญญังสรีรังสูตร



ว่าด้วยความเห็นว่า ชีพกับสรีระเป็นคนละอย่าง



[439] กรุงสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เมื่ออะไรมีอยู่ เพราะถือมั่นอะไร เพราะยึดมั่นอะไร
จึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่า ชีพเป็นอย่างอื่น สรีระเป็นอย่างอื่น.