เมนู

3. ทิฏฐิสังยุต



โสตาปัตติวรรคที่ 1



1. วาตสูตร



ว่าด้วยเหตุเกิดมิจฉาทิฏฐิ



[417] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ พระวิหาร
เชตวัน กรุงสาวัตถี ฯลฯ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เมื่ออะไรหนอมีอยู่ เพราะถือมั่นอะไร เพราะยึดมั่นอะไร
ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า ลมย่อมไม่พัด แม่น้ำย่อมไม่ไหล สตรีมีครรภ์
ย่อมไม่คลอด พระจันทร์และพระอาทิตย์ย่อมไม่ขึ้นหรือไม่ตกลง
เป็นของตั้งอยู่มั่นคง เหมือนเสาระเนียด ดังนี้.
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ธรรมทั้งหลายของข้าพระองค์ทั้งหลาย มีพระผู้มีพระภาคเจ้า
เป็นรากฐาน มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นแบบ มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็น
ที่พึ่งอาศัย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอเนื้อความแห่งพระสูตรนี้
จงแจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด ภิกษุทั้งหลายได้ฟังธรรมของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จักทรงจำไว้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น
เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราตถาคตจักกล่าว. ภิกษุเหล่านั้น
ทูลรับพระพุทธดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เมื่อรูปแลมีอยู่ เพราะถือมั่นรูป เพราะยึดมั่นรูป ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
อย่างนี้ว่า ลมย่อมไม่พัด แม่น้ำย่อมไม่ไหล สตรีมีครรภ์ย่อมไม่คลอด

พระจันทร์และพระอาทิตย์ย่อมไม่ขึ้นหรือย่อมไม่ตก เป็นของตั้งอยู่มั่นคง
เหมือนเสาระเนียด เมื่อเวทนามีอยู่ ฯลฯ เมื่อสัญญามีอยู่ ฯลฯ เมื่อสังขาร
มีอยู่ ฯลฯ เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะถือมั่นวิญญาณ เพราะยึดมั่นวิญญาณ
ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า ลมย่อมไม่พัด แม่น้ำย่อมไม่ไหล สตรีมีครรภ์
ย่อมไม่คลอด พระจันทร์และพระอาทิตย์ย่อมไม่ขึ้นหรือย่อมไม่ตก
เป็นของตั้งอยู่มั่นคงเหมือนเสาระเนียด.
[418] ภ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความ
ข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยง หรือไม่เที่ยง ?
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือเป็นสุขเล่า ?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
เพราะไม่ถือมั่นสิ่งนั้น ทิฏฐิพึงเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า ลมย่อมไม่พัด
แม่น้ำย่อมไม่ไหล สตรีมีครรภ์ย่อมไม่คลอด พระจันทร์และพระอาทิตย์
ย่อมไม่ขึ้น หรือไม่ตก เป็นของตั้งอยู่มั่นคงเหมือนเสาระเนียดใช่ไหม ?
ภิ. ไม่พึงเกิดทิฏฐิอย่างนั้นเลย พระเจ้าข้า.
ภ. เวทนาเที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯลฯ สัญญาเที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯลฯ
สังขารเที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯลฯ วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง ?
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง. สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
เพราะไม่ถือมั่นสิ่งนั้น ทิฏฐิจะพึงเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า ลมย่อมไม่พัด
แม่น้ำย่อมไม่ไหล สตรีมีครรภ์ย่อมไม่คลอด พระจันทร์และพระอาทิตย์
ย่อมไม่ขึ้นหรือไม่ตก เป็นของตั้งอยู่มั่นคง เหมือนเสาระเนียดใช่ไหม ?
ภิ. ไม่พึงเกิดทิฏฐิอย่างนั้นเลย พระเจ้าข้า.
ภ. แม้สิ่งที่บุคคลเห็นแล้ว ฟังแล้ว ทราบแล้ว รู้แจ้งแล้ว ถึงแล้ว
แสวงหาแล้ว ใคร่ครวญแล้วด้วยใจ เป็นของเที่ยง หรือไม่เที่ยง ?
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
เพราะไม่ถือมั่นสิ่งนั้น ทิฏฐิจะพึงเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า ลมย่อมไม่พัด
แม่น้ำย่อมไม่ไหล สตรีมีครรภ์ย่อมไม่คลอด พระจันทร์และพระอาทิตย์
ย่อมไม่ขึ้น หรือย่อมไม่ตก เป็นของตั้งอยู่มั่นคงเหมือนเสาระเนียดใช่ไหม ?
ภิ. ไม่พึงเกิดทิฏฐิอย่างนั้นเลย พระเจ้าข้า.
ภ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล พระอริยสาวกละความสงสัย
ในฐานะ 6 เหล่านี้ ชื่อว่าเป็นอันละสงสัยแม้ในทุกข์ แม้ในทุกขสมุทัย
แม้ในทุกขนิโรธ แม้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เมื่อนั้น อริยสาวกนี้ เราตถาคตเรียกว่า เป็นพระโสดาบัน มีความ
ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้คุณเบื้องหน้า.
จบ วาตสูตร

อรรถกถาทิฏฐิสังยุต



โสตาปัตติวรรคที่ 1



1. อรรถกถาวาตสูตร



พึงทราบวินิจฉัย ในทิฏฐิสังยุต ดังต่อไปนี้ :-
ในบทว่า น วาตา วายนฺติ เป็นต้น มีอธิบายว่า ได้ยินว่า
ชนเหล่านั้น มีความเห็นอย่างนี้ว่า ลมที่พัดหักราญกิ่งไม้เป็นต้น
ไม่ใช่ลม (ที่แท้จริง) นั่นชื่อว่า เป็นเลส (อาการ) ของลม (ต่างหาก)
ส่วนลมก็ยังคงอยู่ เหมือนเสาระเนียด และเหมือนยอดเขา.
อนึ่ง แม่น้ำที่ไหลพัดพาหญ้า และไม้เป็นต้น นั่นไม่ใช่น้ำไหล
เป็นเลส (อาการ) ของน้ำ (ต่างหาก) ส่วนน้ำก็ยังคงอยู่ เหมือน
เสาระเนียด และเหมือนยอดเขา.
อนึ่ง หญิงมีครรภ์เหล่าใด ที่กล่าวกันว่าคลอดลูก หญิงแม้เหล่านั้น
ถึงจะมีท้องลดลง ก็จริง ถึงกระนั้น ก็ไม่ใช่ว่า ครรภ์ (ของหญิงเหล่านั้น)
จะออกมา นั่นชื่อว่าเป็นเลส (อาการ) ของครรภ์ (ต่างหาก) ส่วนครรภ์
ก็ยังคงอยู่ เหมือนเสาระเนียด และเหมือนยอดเขา.
อนึ่ง ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ขึ้นหรือตก ก็ไม่ใช่ว่า มันขึ้น
(จริง) ไม่ใช่ว่า มันตก (จริง) นั่นชื่อว่าเป็นเลส (อาการ) ของดวงจันทร์
และดวงอาทิตย์ (ต่างหาก) ส่วนดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ก็ยังคงอยู่
เหมือนเสาระเนียด และเหมือนยอดเขา.
จบ อรรถกถาวาตสูตร