เมนู

และความดับแห่งรูป... แห่งเวทนา... แห่งสัญญา... แห่งสังขาร...
แห่งวิญญาณ (ความต่อไปนี้เหมือนข้อที่ 28-29)
จบ ปฏิสัลลานสูตรที่ 6

อรรถกถาปฏิสัลลานสูตรที่ 6



ในปฏิสัลลานสูตรที่ 6 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นภิกษุเหล่านั้นผู้เสื่อมจากกายวิเวก
แล้ว ทรงทราบว่า เมื่อพวกเธอได้กายวิเวก กรรมฐานจักเจริญ จึงได้
ตรัสพระดำรัสนี้ว่า ปฏิสลฺลาเน เป็นต้น.
จบ อรรถกถาปฏิสัลลานสูตรที่ 6

7. อุปาทานปริตัสสนาสูตรที่ 1



ว่าด้วยความสะดุ้งและไม่สะดุ้ง



[31] กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงความสะดุ้งเพราะความถือมั่น
และความไม่สะดุ้ง เพราะความไม่ถือมั่น แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลาย
จงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสพระผู้มี-
พระภาคเจ้าแล้ว ฯลฯ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสดังต่อไปนี้.
[32] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ความสะดุ้งเพราะความถือมั่น
ย่อมมีอย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มีได้สดับแล้วในโลกนี้ มิได้
เห็นพระอริยะทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ มิได้รับแนะนำ
ในอริยธรรม มิได้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ
มิได้รับแนะนำในสัปปุริสธรรม ย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตน 1

ย่อมเห็นตนมีรูป 1 ย่อมเห็นรูปในตน 1 ย่อมเห็นตนในรูป 1 รูป
ของเขานั้น ย่อมแปรปรวน ย่อมเป็นอย่างอื่นไป เพราะรูปของเขา
แปรปรวนและเป็นอย่างอื่นไป วิญญาณจึงมีความหมุนเวียนไปตาม
ความแปรปรวนแห่งรูป ความสะดุ้ง และความเกิดขึ้นแห่งธรรมที่
เกิดแต่ความหมุนเวียนไปตามความแปรปรวนแห่งรูป ย่อมครอบงำจิต
ของปุถุชนนั้นตั้งอยู่ เพราะจิตถูกครองงำ ปุถุชนนั้นย่อมมีความ
หวาดเสียว มีความลำบากใจ มีความห่วงใย และสะดุ้งอยู่ เพราะความ
ถือมั่น ย่อมเห็นเวทนาโดยความเป็นตน 1 ย่อมเห็นตนมีเวทนา 1 ย่อม
เห็นเวทนาในตน 1 ย่อมเห็นตนในเวทนา 1 เวทนาของเขานั้น ย่อม
แปรปรวน ย่อมเป็นอย่างอื่นไป ฯลฯ ย่อมเห็นสัญญาโดยความเป็นตน 1
ย่อมเห็นตนมีสัญญา 1 ย่อมเห็นสัญญาในตน 1 ย่อมเห็นตนในสัญญา 1
สัญญาของเขานั้น ย่อมแปรปรวน ย่อมเป็นอย่างอื่นไป ฯลฯ ย่อมเห็น
สังขารโดยความเป็นตน 1 ย่อมเห็นตนมีสังขาร 1 ย่อมเห็นสังขาร
ในตน 1 ย่อมเห็นตนในสังขาร 1 สังขารของเขานั้น ย่อมแปรปรวน
ย่อมเป็นอย่างอื่นไป ฯลฯ ย่อมเห็นวิญญาณโดยความเป็นตน 1 ย่อม
เห็นตนมีวิญญาณ 1 ย่อมเห็นวิญญาณในตน 1 ย่อมเห็นตนในวิญญาณ 1
วิญญาณของเขานั้นย่อมแปรปรวน ย่อมเป็นอย่างอื่นไป เพราะวิญญาณ
แปรปรวนและเป็นอย่างอื่นไป วิญญาณจึงมีความหมุนเวียนไปตาม
ความแปรปรวนแห่งวิญญาณ ความสะดุ้ง และความบังเกิดขึ้นแห่ง
ธรรมที่เกิดแต่ความหมุนเวียนไปตามความแปรปรวนแห่งวิญญาณ
ย่อมครอบงำจิตของปุถุชนนั้นตั้งอยู่ เพราะจิตถูกครองงำ ปุถุชนนั้น
ย่อมมีความหวาดเสียว มีความลำบากใจ มีความห่วงใยและสะดุ้งอยู่
เพราะความถือมั่น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความสะดุ้งเพราะความถือมั่น
ย่อมมีอย่างนี้แล.

[33] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ความไม่สะดุ้งเพราะความไม่ถือมั่น
ย่อมมีอย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ผู้ได้สดับ
แล้ว ได้เห็นพระอริยะทั้งหลาย ผู้ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ผู้ได้รับ
แนะนำดีแล้วในอริยธรรม ผู้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย ผู้ฉลาดในธรรมของ
สัตษุรุษ ผู้ได้รับแนะนำดีแล้วในสัปปุริสธรรม ย่อมไม่เห็นรูปโดย
ความเป็นตน 1 ย่อมไม่เห็นตนมีรูป 1 ย่อมไม่เห็นรูปในตน 1 ย่อม
ไม่เห็นตนในรูป 1 รูปของอริยสาวกนั้น ย่อมแปรปรวนย่อมเป็น
อย่างอื่นไป เพราะรูปแปรปรวนและเป็นอย่างอื่นไป วิญญาณจึงไม่มี
ความหมุนเวียนไปตามความแปรปรวนแห่งรูป ความสะดุ้ง และ
ความบังเกิดขึ้นแห่งธรรมที่เกิดแต่ความหมุนเวียนไปตามความ
แปรปรวนแห่งรูป ย่อมไม่ครอบงำจิตของอริยสาวกนั้นตั้งอยู่ เพราะจิต
ไม่ถูกครอบงำ อริยสาวกนั้นย่อมไม่มีความหวาดเสียว ไม่มีความ
ลำบากใจ ไม่มีความห่วงใย และไม่สะดุ้ง เพราะไม่ถือมั่น ย่อมไม่เห็น
เวทนาโดยความเป็นตน 1 ย่อมไม่เห็นตนมีเวทนา 1 ย่อมไม่เห็นเวทนา
ในตน 1 ย่อมไม่เห็นตนในเวทนา 1 เวทนาของอริยสาวกนั้นย่อม
แปรปรวน ย่อมเป็นอย่างอื่นไป... ย่อมไม่เห็นสัญญาโดยความเป็นตน 1
ย่อมไม่เห็นตนมีสัญญา 1 ย่อมไม่เห็นสัญญาในตน 1 ย่อมไม่เห็นตน
ในสัญญา 1 สัญญาของอริยสาวกนั้น ย่อมแปรปรวน ย่อมเป็น
อย่างอื่นไป... ย่อมไม่เห็นสังขารโดยความเป็นตน 1 ย่อมไม่เห็นตนมี
สังขาร 1 ย่อมไม่เห็นตนในสังขาร 1 ย่อมไม่เห็นสังขารในตน 1
สังขารของอริยสาวกนั้น ย่อมแปรปรวน ย่อมเป็นอย่างอื่นไป...
ย่อมไม่เห็นวิญญาณโดยความเป็นตน 1 ย่อมไม่เห็นตนมีวิญญาณ 1
ย่อมไม่เห็นวิญญาณในตน 1 ย่อมไม่เห็นตนในวิญญาณ 1 วิญญาณ
ของอริยสาวกนั้น ย่อมแปรปรวน ย่อมเป็นอย่างอื่นไป เพราะวิญญาณ

แปรปรวนและเป็นอย่างอื่นไป วิญญาณจึงไม่มีความหมุนเวียนไปตาม
ความแปรปรวนแห่งวิญญาณ ความสะดุ้งและความบังเกิดขึ้นแห่งธรรม
ที่เกิดแต่ความหมุนเวียนไปตามความแปรปรวนแห่งวิญญาณ ย่อม
ไม่ครอบงำจิตของอริยสาวกนั้นตั้งอยู่ เพราะจิตไม่ถูกครอบงำ
อริยสาวกนั้นย่อมไม่มีความหวาดเสียว ไม่มีความลำบากใจ ไม่มี
ความห่วงใย และไม่สะดุ้ง เพราะไม่ถือมั่น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ความไม่สะดุ้งเพราะความไม่ถือมั่น ย่อมมีอย่างนี้แล.
จบ อุปาทานปริตัสสนาสูตรที่ 7

อรรถกถาอุปาทานปริตัสสนาสูตรที่ 7



ในอุปาทานปริตัสสนาสูตรที่ 7 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้
บทว่า อุปาทานปริตสฺสนํ ได้แก่ ความสะดุ้งที่เกิดขึ้นเพราะ
ความยึดถือ. บทว่า อนุปาทานอปริตสฺสนํ ได้แก่ ความไม่สะดุ้งที่เกิดขึ้น
เพราะความไม่ยืดถือ. บทว่า รูปวิปริณามานุวตฺติ ความว่า กรรมวิญญาณ
ย่อมเป็นธรรมชาติหมุนเวียนไปตามความแตกแห่งรูปโดยนัยเป็นต้นว่า
รูปของเราแปรไปแล้วดังนี้ หรือว่ารูปนี้ได้เคยมีแก่เราแล้ว มาบัดนี้
รูปนี้ไม่มีแก่เราหนอดังนี้ บทว่า วิปริณามานุปริวตฺติ ได้แก่ อันเกิดแต่จิต
ที่มีความแปรปรวนเป็นอารมณ์โดยหมุนเวียนไปตามรูปที่แปรปรวนไป.
บทว่า ปริตสฺสนาธมฺมสมุปฺปาทา ได้แก่ ความสะดุ้งเพราะตัณหาและ
ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งอกุศลธรรม. บทว่า จิตฺตํ ได้แก่ กุศลจิต. บทว่า
ปริยาทาย ติฏฺฐนฺติ ได้แก่ ครอบงำตั้งอยู่. บทว่า อุตฺตาสวา ได้แก่