เมนู

8. ติมพรุกขสูตร



ว่าด้วยสุขและทุกข์เกิดแต่ปัจจัย



[53] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ปริพาชก ชื่อ
ติมพรุกขะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้
ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกัน
ไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[54] ครั้นแล้ว ติมพรุกขปริพาชกได้ทูลถามพระผู้มีพระภาค-
เจ้า
ว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม สุขและทุกข์ ตนกระทำเองหรือ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะ.
ต. สุขและทุกข์ผู้อื่นกระทำให้หรือ ท่านพระโคดม.
ภ. อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะ.
ต. สุขและทุกข์ ตนกระทำเองด้วย ผู้อื่นกระทำให้ด้วยหรือ
ท่านพระโคดม.
ภ. อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะ.
ต. สุขและทุกข์บังเกิดขึ้น เพราะอาศัยการที่มิใช่ตนเองกระทำ
มิใช่ผู้อื่นกระทำให้หรือ ท่านพระโคดม.
ภ. อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะ.
ต. สุขและทุกข์ไม่มีหรือ ท่านพระโคดม.
ภ. สุขและทุกข์ไม่มีหามิได้ สุขและทุกข์มีอยู่ ติมพรุกขะ.
ต. ถ้าอย่างนั้น ท่านพระโคดม ย่อมไม่รู้ ไม่เห็นสุขและทุกข์.

ก. เราย่อมไม่รู้ไม่เห็นสุขและทุกข์หามิได้ เรารู้เห็นสุขและทุกข์
อยู่ ติมพรุกขะ.
ต. เมื่อข้าพเจ้าถามว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม สุขและทุกข์ตนกระ-
ทำเองหรือ ท่านตรัสว่า อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะ เมื่อข้าพเจ้า
ถามว่า สุขและทุกข์ผู้อื่นกระทำให้หรือ ท่านพระโคดม ท่านตรัสว่า
อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะ เมื่อข้าพเจ้าถามว่า สุขและทุกข์ตน
กระทำเองด้วย ผู้อื่นกระทำให้ด้วยหรือ ท่านพระโคดม ท่านตรัสว่า
อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะ เมื่อข้าพเจ้าถามว่า สุขและทุกข์บังเกิดขึ้น
เพราะอาศัยการที่มิใช่ตนเองกระทำ มิใช่ผู้อื่นกระทำให้หรือ ท่านพระ-
โคดม
ท่านตรัสว่า อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะ เมื่อข้าพเจ้าถามว่า
สุขและทุกข์ไม่มีหรือ ท่านตรัสว่า สุขและทุกข์ไม่มีหามิได้ สุขและทุกข์
มีอยู่ ติมพรุกขะ เมื่อข้าพเจ้าถามว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านพระโคดมย่อมไม่
รู้ไม่เห็นสุขและทุกข์ ท่านตรัสว่า เราย่อมไม่รู้ไม่เห็นสุขและทุกข์หามิได้
เราเห็นสุขและทุกข์อยู่ ติมพรุกขะ ขอท่านพระโคดมจงตรัสบอกสุขและ
ทุกข์แก่ข้าพเจ้า ขอท่านพระโคดมจงทรงแสดงสุขและทุกข์แก่ข้าพเจ้า.
[55] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนติมพรุกขะ เมื่อบุคคล
ถืออยู่ว่า นั่นเวทนา นั่นผู้เสวย [ เวทนา ] ดังนี้ แต่เราไม่กล่าวอย่าง
นี้ว่า สุขและทุกข์ตนกระทำเอง เมื่อบุคคลถูกเวทนาทิ่มแทง [ รู้ ] อยู่
ว่าเวทนาอย่างหนึ่ง ผู้เสวย [ เวทนา ] เป็นอีกคนหนึ่ง ดังนี้ แต่เราไม่
กล่าวอย่างนี้ว่า สุขและทุกข์ผู้อื่นกระทำให้ ดูก่อนติมพรุกขะ ตถาคต
แสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้งสองนั้นว่า เพราะ

อวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ. . .
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ เพราะ
อวิชชานั่นแหละดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขาร
ดับ วิญญาณจึงดับ. . .ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประ-
การอย่างนี้.
[56] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ติมพรุกขปริพาชก-
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของ
พระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้ง
นัก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบ
เหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง
หรือตามประทีปในที่มืดด้วยประสงค์ว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูปฉะนั้น ข้า
พระองค์ขอถึงท่านพระโคดมกับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ
ขอท่านพระโคดม จงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะจนตลอด
ชีวิตจำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.
จบติมพรุกขสูตรที่ 8

อรรถกถาติมพรุกขสูตรที่ 8



ในติมพรุกขสูตรที่ 8 พึงทราบวินิจฉัย ดังต่อไปนี้.
คำว่า สา เวทนา เป็นต้น ตรัสเพื่อจะปฏิเสธลัทธิที่ว่า สิ่งที่
ตนทำเอง เป็นสุขและทุกข์. คำว่า สโต แม้ในบทว่า อาทิโต สโต
นี้ เป็นฉัฏฐีวิภัตติ ใช้ในอรรถสัตตมีวิภัตติ. ในข้อนี้ มีการแสดง
เนื้อความดังต่อไปนี้ :- ติมพรุกขะ เมื่อคำเป็นต้นว่า สา เวทนา โส