เมนู

อรรถกถาเถรนามสูตรที่ 10



ในเถรนามสูตรที่ 10 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ว่า วณฺณวาที แปลว่า มีปกติกล่าวอานิสงส์. บทว่า ยํ อตีตํ
ปหีนํ
ความว่า เป็นอันชื่อว่าละความโกรธนั้น ด้วยการละฉันทราคะใน
เบญจขันธ์อันเป็นอดีต. บทว่า อนาคตํ ความว่า เบญจขันธ์อันเป็น
อนาคตเป็นอันชื่อว่าสลัดเสียได้ ด้วยการสละฉันทราคะในเบญจขันธ์นั้น.
บทว่า สพฺพาภิภุํ ความว่า ตั้งครอบงำขันธ์ อายตนะ ธาตุ และภพ 3
ทั้งหมด. บทว่า สพฺพวิทุํ ได้แก่ รู้แจ้งเบญจขันธ์เป็นต้นซึ่งมีประการ
ดังกล่าวแล้วทั้งหมดนั้น. บทว่า สพฺเพสุ ธมฺเมสุ ความว่า อันเครื่อง
ฉาบคือตัณหาและทิฏฐิไม่เข้าไปฉาบแล้วในธรรมทั้งปวงนั้นแล. บทว่า
สพฺพํ ชหํ ความว่า ละเบญจขันธ์นั้นแลทั้งหมด ด้วยการละฉันทราคะ
ในเบญจขันธ์นั้น. บทว่า ตณฺหกฺขเย วิมุตฺตํ ได้แก่น้อมไปในพระ-
นิพพาน กล่าวคือธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา คือในวิมุตติซึ่งมีพระ-
นิพพานนั้นเป็นอารมณ์.
จบอรรถกถาเถรนามสูตรที่ 10

11. กัปปินสูตร



ว่าด้วยเรื่องท่านพระมหากัปปินะ



[722] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้นี้พระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม

ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ท่านพระมหา
กัปปินะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ.
[723] พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทอดพระเนตรเห็นท่าน
พระมหากัปปินะผู้มาแต่ไกล แล้วจึงเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสถามว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเห็นภิกษุที่กำลังมานั่นหรือไม่ เป็นผู้ขาว
โปร่ง จมูกโด่ง.
ภิกษุทั้งหลายกราบพูดว่า เห็น พระเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นแลมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก
แต่เธอไม่ได้สมาบัติที่เธอไม่เคยเข้าง่ายนัก เธอกระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่ง
พรหมจรรย์อันยอดเยี่ยมซึ่งกุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
โดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่.
[724] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยา-
กรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
ในชุมนุมที่ยังรังเกียจกันด้วยโคตร กษัตริย์เป็น
ผู้ประเสริฐที่สุดในเทวดาและมนุษย์ ผู้ที่สมบูรณ์ด้วย
วิชชาและจรณะ เป็นผู้ประเสริฐที่สุด พระอาทิตย์
ย่อมแผดแสงในกลางวัน พระจันทร์ส่องสว่างใน
กลางคืน กษัตริย์ผู้ผูกสอดเครื่องรบย่อมมีสง่า
พราหมณ์ผู้เพ่งฌาน ย่อมรุ่งเรือง ส่วนพระพุทธเจ้า
ย่อมรุ่งโรจน์ด้วยเดชานุภาพตลอดวันและคืนทั้งหมด
ดังนี้.

จบกัปปินสูตรที่ 11

อรรถกถากัปปินสูตรที่ 11



ให้กัปปินสูตรที่ 11 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า มหากปฺปิโน ได้แก่ พระมหาเถระผู้อยู่ในจำนวนพระมหา-
สาวก 80 องค์ ผู้บรรลุกำลังแห่งอภิญญามีชื่ออย่างนี้. ได้ยินว่า
พระมหาเถระนั้น ครั้งเป็นคฤหัสถ์ ได้ครองราชสมบัติมีอาณาเขตประมาณ
300 โยชน์ ในกุกกุฏวดีนคร แต่เพราะในภพสุดท้ายได้เที่ยวเงี่ยโสต
สดับคำสั่งสอนเห็นปานนั้น. ต่อมาวันหนึ่ง ทรงแวดล้อมไปด้วยอำมาตย์
1,000 คน ได้ไปทรงกรีฑาในพระราชอุทยาน. ก็ในคราวนั้น พ่อค้า
เดินทางจากมัชฌิมประเทศไปนครนั้น เก็บสินค้าแล้วคิดจักเฝ้าพระราชา
ต่างถือเครื่องบรรณาการไปพระราชทวาร สดับว่าพระราชาเสด็จไปพระราช
อุทยาน จึงไปยังพระราชอุทยานยืนอยู่ที่ประตู ได้แจ้งแก่คนเฝ้าประตู
ครั้นกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ พระราชารับสั่งให้เรียกมา ตรัสถาม
พวกเขาผู้มอบเครื่องบรรณาการถวายบังคมยืนอยู่ว่า พ่อทั้งหลายพวกท่าน
มาแต่ไหน. พ่อค้าเหล่านั้นกราบทูลว่า มาแต่กรุงสาวัตถี พระเจ้าข้า.
ร. แว่นแคว้นของพวกท่านมีภิกษาหาได้ง่ายไหม. พระเจ้าแผ่นดิน
ทรงธรรมไหม.
พ. ขอเดชะ. พระเจ้าข้า.
ร. ก็ในประเทศของพวกท่านมีศาสนาอะไร.
พ. มีพระเจ้าข้า แต่ผู้มีปากมีเศษอาหารไม่สามารถจะพูดได้.
พระราชา ได้พระราชทานน้ำด้วยพระเต้าทอง. พ่อค้าเหล่านั้น
บ้วนปากแล้ว ผินหน้าต่อพระทศพลประคองอัญชลีแล้วกราบทูลว่า ขอ
เดชะ ชื่อว่าพระพุทธรัตนะได้เกิดขึ้นแล้วในประเทศของข้าพระองค์.