เมนู

5. นครสูตร



ว่าด้วยโลกนี้ลำบากเพราะมีเกิดแก่เจ็บตาย



[250] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ที่นั้นแล พระผู้มี-
พระภาคเจ้า
ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก่อนแต่
กาลตรัสรู้ เมื่อเรายังเป็นพระโพธิสัตว์ ยังมิได้ตรัสรู้ เราได้มีความคิด
อย่างนี้ว่า โลกนี้ถึงความลำบากหนอ ย่อมเกิด แก่ ตาย จุติและอุบัติ
ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่มีผู้ใดทราบชัดซึ่งธรรมเป็นที่สลัดออกจากกองทุกข์
คือ ชราและมรณะนี้ได้เลย เมื่อไรหนอ ธรรมเป็นที่สลัดออกไปจากกอง
ทุกข์คือชราและมรณะนี้จึงจักปรากฏ.
[251] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เมื่อ
อะไรหนอแล มีอยู่ ชราและมรณะจึงมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีชรา
และมรณะ เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า
เมื่อชาติแลมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและ
มรณะ เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอแลมีอยู่ ชาติจึงมี. . .
ภพจึงมี... ตัณหาจึงมี. .. เวทนาจึงมี... ผัสสะจึงมี. .. สฬายตนะจึงมี...
นามรูปจึงมี . . . เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะการใส่ใจโดย
แยบคายของเรานั้น จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า เมื่อ
อะไรหนอแลมีอยู่ วิญญาณจึงมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อนามรูป

มีอยู่ วิญญาณจึงมี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เรานั้นได้มี
ความคิดดังนี้ว่า วิญญาณนี้แลได้กลับแล้วเพียงเท่านี้ ไม่ไปพ้นจากนามรูป
ได้แล ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ โลกย่อมเกิด แก่ ตาย จุติและอุบัติ กล่าวคือ
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมี
นามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็น
ปัจจัย จึงมีผัสสะ ฯ ล ฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วย
ประการอย่างนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง
ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาในกาลก่อนว่า
เหตุให้ทุกข์เกิด ดังนี้.
[252] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราได้มีความคิดดังนี้ เมื่ออะไร
หนอแล ไม่มีอยู่ ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชราและมรณะ
จึงดับ เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า
เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ
เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอเเล ไม่มีอยู่ ชาติจึงไม่มี . . .
ภพจึงไม่มี. . . อุปาทานจึงไม่มี. . . ตัณหาจึงไม่มี. . .เวทนาจึงไม่มี . . .
ผัสสะจึงไม่มี. . . สฬายตนะจึงไม่มี. . . นามรูปจึงไม่มี. . . เพราะอะไรดับ
นามรูปจึงดับ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรา
นั้น จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปจึงไม่มี เพราะ
วิญญาณดับ นามรูปจึงดับ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความคิด
ดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอแล ไม่มีอยู่ วิญญาณจึงไม่มี เพราะอะไรดับ
วิญญาณจึงดับ เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงรู้ได้ด้วยปัญญา
ว่า เมื่อนามรูปไม่มี วิญญาณจึงไม่มี เพราะนามรูปดับ วิญญาณจึงดับ

เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า มรรคนี้เราได้บรรลุแล้วแล ด้วยปัญญาเครื่อง
ตรัสรู้ คือ เพราะนามรูปดับ วิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณดับ นามรูป
จึงดับ เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะ
จึงดับ ฯ ล ฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้ว
แก่เราในธรรมทั้งหลายที่เรายังไม่เคยได้ฟังมาในกาลก่อนว่า เหตุให้ทุกข์
ดับ เหตุให้ทุกข์ดับ ดังนี้.
[253] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษเมื่อเที่ยวไปในป่าทึบ ได้พบ
มรรคาเก่า หนทางเก่า ที่คนก่อน ๆ เคยเดินไปมา เขาเดินตามทางนั้นไป
เมื่อกำลังเดินตามทางนั้นอยู่ พบนครเก่า พบราชธานีโบราณซึ่งสมบูรณ์
ด้วยสวน ป่าไม้ สระโบกขรณี มีเชิงเทิน ล้วนน่ารื่นรมย์ ที่คนก่อนๆ
เคยอยู่อาศัยมา. ครั้งนั้นแล บุรุษคนนั้นจึงกราบทูลแด่พระราชาหรือเรียน
แก่ราชมหาอำมาตย์ว่า ขอเดชะ พระองค์จงทรงทราบเถิด พระพุทธเจ้าข้า
ข้าพระพุทธเจ้าเมื่อเที่ยวไปในป่า ได้พบมรรคาเก่า หนทางเก่าที่คน
ก่อน ๆ เคยเดินไปมา ข้าพระพุทธเจ้าได้เดินตามทางนั้นไป เมื่อกำลัง
เดินตามทางนั้นอยู่ ได้พบนครเก่า พบราชธานีโบราณซึ่งสมบูรณ์ด้วย
สวน ป่าไม้ สระโบกขรณี มีเชิงเทิน ล้วนน่ารื่นรมย์ ที่คนก่อน ๆ
เคยอยู่อาศัยมา ขอพระองค์จงทรงสร้างพระนครนั้นเถิด พระพุทธเจ้าข้า
ลำดับนั้น พระราชาหรือราชมหาอำมาตย์จึงสร้างเมืองนั้นขึ้น สมัยต่อมา
เมืองนั้นเป็นเมืองมั่งคั่งและสมบูรณ์ขึ้น มีประชาชนเป็นอันมาก มีมนุษย์
เกลื่อนกล่น และเป็นเมืองถึงความเจริญ ไพบูลย์ แม้ฉันใด ภิกษุ
ทั้งหลาย เราได้พบบรรดาเก่า หนทางเก่า ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระองค์ก่อน ๆ เคยเสด็จไป ก็บรรดาเก่า หนทางเก่า ที่พระสัมมา-
สัมพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ เคยเสด็จไปนั้น เป็นไฉน คือมรรคอันประกอบ
ด้วยองค์ 8 อันประเสริฐ นี้แล ได้แก่สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ
นี้แล มรรคาเก่า หนทางเก่า ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ
เคยเสด็จไปแล้ว เราก็ได้เดินตามหนทางอันประเสริฐซึ่งประกอบด้วย
องค์ 8 ประการ อันเป็นทางเก่านั้น เมื่อกำลังเดินตามหนทางนั้นไป
ได้รู้ชัดซึ่งชราและมรณะ เหตุเกิดขึ้นแห่งชราและมรณะ ความดับแห่ง
ชราและมรณะ และได้รู้ชัดซึ่งปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับชราและมรณะ
เมื่อเรากำลังเดินตามทางอันประเสริฐซึ่งประกอบด้วยองค์ 8 ประการ อัน
เป็นทางเก่านั้นไปอยู่ ได้รู้ชัดซึ่งชาติ ฯ ล ฯ ได้รู้ชัดซึ่งภพ... ได้รู้ชัดซึ่ง
อุปาทาน... ได้รู้ชัดซึ่งตัณหา... ได้รู้ชัดซึ่งเวทนา... ได้รู้ชัดซึ่งผัสสะ...
ได้รู้ชัดซึ่งสฬายตนะ... ได้รู้ชัดซึ่งนามรูป... ได้รู้ชัดซึ่งวิญญาณ...
ได้รู้ชัดซึ่งสังขารทั้งหลาย เหตุเกิดขึ้นแห่งสังขาร ความดับแห่งสังขาร
และได้รู้ชัดซึ่งปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับแห่งสังขาร ครั้นได้รู้ชัดซึ่ง
ทางอันประเสริฐซึ่งประกอบด้วยองค์ 8 ประการนั้นแล้ว เราจึงได้บอก
แก่พวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์
ของเราจึงได้เจริญแพร่หลาย กว้างขวาง มีชนเป็นอันมากรู้ เป็นปึกแผ่น
จนกระทั่งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายก็ประกาศได้เป็นอย่างดี ดังนี้แล.

จบนครสูตรที่ 5

อรรถกถานครสูตรที่ 5



ในนครสูตรที่ 5 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ในคำว่า นามรูเป โข สติ วิญฺยาณํ นี้ ควรจะกล่าวว่า
สงฺขาเรสุ สติ วิญฺญาณํ และว่า วิชฺชาย สติ สงฺขารา แม้คำทั้ง
สองนั้น ท่านก็ไม่กล่าว. เพราะเหตุไร. เพราะอวิชชาและสังขารเป็นภพ
ที่ 3 วิปัสสนานี้ไม่เชื่อมกับอวิชชาและสังขารนั้น. จริงอยู่ พระมหาบุรุษ
ทรงถือมั่นอย่างยิ่ง ซึ่งปัจจุบันนภพ ด้วยอำนาจปัญจโวการภพ (ภพที่
มีขันธ์ 5 ) แล. ถามว่า เมื่อไม่เห็นอวิชชาและสังขาร ก็ไม่อาจเป็น
พระพุทธเจ้าได้มิใช่หรือ. แก้ว่า จริง ไม่อาจเป็นได้ แต่พระพุทธเจ้านี้
ทรงเห็นอวิชชาและสังขารนั้น ด้วยอำนาจภพ อุปาทานและตัณหานั่นเอง
เพราะฉะนั้น จึงเปรียบเหมือนบุรุษติดตามเหี้ย เห็นเหี้ยนั้นลงบ่อ ก็ลง
ไปขุดตรงที่เหี้ยเข้าไป จับเหี้ยได้ก็หลีกไป ไม่ขุดที่ส่วนอื่น. เพราะอะไร.
เพราะไม่มีอะไร ฉันใด แม้พระมหาบุรุษก็ฉันนั้น ประทับนั่ง ณ โพธิ-
บัลลังก์ แสวงหาตั้งแต่ชราและมรณะว่า นี้เป็นปัจจัยของสิ่งนี้ เหมือน
บุรุษติดตามเหี้ย ทรงเห็นปัจจัย จนถึงนามธรรมและรูปธรรม เมื่อ
แสวงหาปัจจัยของนามรูปแม้นั้น ก็ได้เห็นเฉพาะวิญญาณเท่านั้น. แต่นั้น
จึงเปลี่ยนเจริญวิปัสสนาว่า ธรรมประมาณเท่านี้ เป็นการดำเนินการ
พิจารณาด้วยอำนาจปัญจโวการภพ. ปัจจัยคืออวิชชาและสังขารมีอยู่เหมือน
ที่ตั้งบ่อเปล่าข้างหน้ายังไม่ถูกทำลาย ไม่ทรงยึดถือเอาปัจจัยคืออวิชชาและ
สังขารนั่นนั้นว่า ไม่ควรพิจารณาแยกเป็นส่วน ๆ เพราะวิปัสสนาท่านถือ
เอาในหนหลังแล้ว.
บทว่า ปจฺจุทาวตฺตติ ได้แก่หวนกลับ. ถามว่า ก็ในที่นี้วิญญาณ