เมนู

ความเป็นสตรีจะทำอะไรได้ เมื่อจิต
ตั้งมั่นดีแล้ว เมื่อญาณเป็นไปแก่ผู้เห็น
ธรรมอยู่โดยชอบ ผู้ใดพึงมีความคิดเห็น
แน่อย่างนี้ว่า เราเป็นสตรี หรือว่าเราเป็น
บุรุษ หรือจะยังมีความเกาะเกี่ยวว่า เรา
มีอยู่ มารควรจะกล่าวกะผู้นั้น.

ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า โสมาภิกษุณีรักเรา ดังนี้
จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง.

อรรถกถาโสมาสูตร



ในโสมาสูตรที่ 2 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ฐานํ ได้แก่ พระอรหัต. บทว่า ทุรภิสมฺภวํ ได้แก่
ทนได้ยาก. บทว่า ทฺวงฺคุลปญฺญาย ได้แก่ ปัญญาเล็กน้อย อีกอย่างหนึ่ง
หญิงชื่อว่า ทฺวงฺคุลปญฺญา เพราะใช้สองนิ้วหยิบปุยฝ้ายกรอด้าย. บทว่า
ญาณมฺหิ วตฺตมานมฺหิ ความว่า เมื่อญาณในผลสมาบัติเป็นไปอยู่. บทว่า
ธมฺมํ วิปสฺสโต ความว่า ผู้เห็นแจ้งธรรมคือสัจจะ 4 หรือเห็นเฉพาะ
เบญจขันธ์ อันเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาในส่วนเบื้องต้น. บทว่า กิญฺจิ วา
ปน อสฺมีติ
ความว่า หรือความกังวลอื่น ๆ จะพึงมีแก่ผู้ใดด้วยตัณหามานะ
และทิฐิว่า เป็นเรา ดังนี้.
จบอรรถกถาโสมาสูตรที่ 2

3. โคตมีสูตร



ว่าด้วยมารรบกวนกิสาโคตมีภิกษุณี



[528] สาวัตถีนิทาน.
ครั้งนั้น เวลาเช้า กิสาโคตมีภิกษุณีนุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวร
เข้าไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี เที่ยวบิณฑบาตไปในกรุงสาวัตถีแล้ว เวลา
ปัจฉาภัต กลับจากบิณฑบาตแล้วเข้าไปยังป่าอันธวันเพื่อพักผ่อนกลางวัน ครั้น
ถึงป่าอันธวันแล้ว จึงนั่งพักกลางวันที่โคนไม้ต้นหนึ่ง.
[529] ลำดับนั้น มารผู้มีบาปใคร่จะให้กิสาโคตมีภิกษุณีบังเกิด
ความกลัว ความหวาดเสียว ขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจาก
สมาธิ จึงเข้าไปหากิสาโคตมีภิกษุณีถึงที่นั่งพัก ครั้นแล้ว ได้กล่าวกะกิสา-
โคตมีภิกษุณีด้วยคาถาว่า
ท่านเสียลูกไปหรือมานั่งอยู่คนเดียว
มีหน้าเหมือนคนร้องไห้ มาอยู่กลางป่า
คนเดียว กำลังแสวงหาบุรุษหรือหนอ.

[530] ลำดับนั้น กิสาโคตมีภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่ใครหนอ
กล่าวคาถา จะเป็นมนุษย์หรืออมนุษย์.
ทันใดนั้น กิสาโคตมีภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่คือมารผู้มีบาป ใคร่
จะให้เราบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ขนพองสยองเกล้า และใคร่จะ
ให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงกล่าวคาถา.
ครั้นกิสาโคตมีภิกษุณีทราบว่า นี่คือมารผู้มีบาปแล้ว จึงได้กล่าวกะ
มารผู้มีบาปด้วยคาถาว่า