เมนู

3. โคธิกสูตร



ว่าด้วยพระโคธิกะปรินิพพาน



[488] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน อัน
เป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต กรุงราชคฤห์.
ก็สมัยนั้นแล ท่านโคธิกะ อยู่ที่กาฬศิลาข้างภูเขาอิสิคิลิ.
[489] ครั้งนั้นแล ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร
ตั้งใจมั่น ได้บรรลุเจโตวิมุตติอันเป็นโลกีย์ ภายหลังท่านโคธิกะได้เสื่อมจาก
เจโตวิมุตติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้งที่ 2 ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มี
ความเพียร ตั้งใจมั่น ได้บรรลุเจโตวิมุตติอันเป็นโลกีย์ แม้ในครั้งที่ 2 ก็ได้
เสื่อมจากเจโตวิมุตติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้งที่ 3 ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท
มีความเพียร ตั้งใจมั่นอยู่. ได้บรรลุเจโตวิมุตติอันเป็นโลกีย์ แม้ในครั้งที่ 3 ก็
ได้เสื่อมจากเจโตวิมุตติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้งที่ 4 ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่
ประมาท มีความเพียร ตั้งใจมั่น ได้บรรลุเจโตวิมุติอัน เป็นโลกีย์ แม้ในครั้ง
ที่ 4 ก็ได้เสื่อมจากเจโตวิมุตติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้งที่ 5 ท่านโคธิกะเป็นผู้
ไม่ประมาท มีความเพียร ตั้งใจมั่น ได้บรรลุเจโตวิมุตติอันเป็นโลกีย์ แม้ใน
ครั้งที่ 5 ก็ได้เสื่อมจากเจโตวิมุตติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้งที่ 6 ท่านโคธิกะ
เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ตั้งใจมั่น ได้บรรลุเจโตวิมุตติอันเป็นโลกีย์
แม้ในครั้งที่ 6 ก็ได้เสื่อมจากเจโตวิมุตติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้งที่ 7 ท่าน
โคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ตั้งใจมั่น ก็ได้บรรลุเจโควิมุตติอันเป็น
โลกีย์อีก.

ครั้งนั้นแล ท่านโคธิกะได้เกิดความคิดอย่างนี้ว่า เราได้เสื่อมจาก
เจโตวิมุตติอันเป็นโลกีย์ถึง 6 ครั้งแล้ว ถ้ากระไร เราพึงนำศัสตรามา.
[490] ลำดับนั้นแล มารผู้มีบาปทราบความปริวิตกแห่งจิตของท่าน
โคธิกะด้วยจิตแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้มีจักษุ มีเพียรใหญ่
มีปัญญามาก รุ่งเรืองด้วยฤทธิ์และยศ
ก้าวล่วงเวรและภัยทั้งปวง ข้าพระองค์ขอ
ถวายบังคมพระบาททั้งคู่ ข้าแต่พระองค์
ผู้มีเพียรใหญ่ สาวกของพระองค์อันมรณะ
ครอบงำแล้ว ย่อมคิดจำนงหวังความตาย
ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงไว้ซึ่งความรุ่งเรื่อง
ขอพระองค์จงห้ามสาวกะองพระองค์นั้น
เสียเถิด.

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ปรากฏ
ในหมู่ชน สาวกของพระองค์ยินดีในพระ-
ศาสนา ยังไม่ได้บรรลุพระอรหัต ยัง
เป็นพระเสขะอยู่ ไฉนจะพึงกระทำกาละ
เสียเล่า.

ก็เวลานั้น ท่านโคธิกะได้นำศัสตรามาแล้ว.
[491] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า ผู้นี้เป็นมารผู้มีบาป
จึงได้ตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า

ปราชญ์ทั้งหลายย่อมทำอย่างนี้แล
ย่อมไม่ห่วงใยชีวิต โคธิกะภิกษุ ถอน
ตัณหาพร้อมด้วยราก นิพพานแล้ว.

[492] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา
แล้วตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เรามาไปสู่กาลศิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิ อันเป็นที่
โคธิกกุลบุตร นำศัสตรามาแล้ว
ภิกษุเหล่านั้น กราบทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.
ครั้นนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุหลายรูปได้เข้าไปยัง
กาลศิลาข้างภูเขาอิสิคิลิ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นโคธิกะมีคออันพลิกแล้ว นอน
อยู่บนเตียงที่ไกลเทียว ก็เวลานั้นแล ควันหรือหมอกพลุ่งไปสู่ทิศตะวันออก
ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และอนุทิศ.
[493] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเห็นไหม ควันหรือหมอกนั้นพลุ่งไปสู่ทิศตะวันออก
ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และอนุทิศ เมื่อ
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลรับพระดำรัสแล้วจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นั่น
มารผู้มีบาป เที่ยวแสวงหาวิญญาณ. ของโคธิกกุลบุตร ด้วยคิดว่า วิญญาณของ
โคธิกกุลบุตรตั้งอยู่ ณ ที่ไหน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โคธิกกุลบุตร มีวิญญาณ
อันไม่ตั้งอยู่แล้ว ปรินิพพานแล้ว.
[494] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปถือพิณมีสีเหลืองเหมือนมะตูมสุก
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าด้วยคาถาว่า

ข้าพระองค์ได้ค้นหาวิญญาณของ
โคธิกกุลบุตร ทั้งในทิศเบื้องบน ทั้งทิศ
เบื้องต่ำ ทั้งทางขวาง ทั้งทิศใหญ่ ทิศน้อย
ทั่วแล้ว มิได้ประสบ โคธิกะนั้นไป ณ
ที่ไหน.

[495] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
นักปราชญ์ผู้ใดสมบูรณ์ด้วยธิติ มี
ปกติเพ่งพินิจ ยินดีแล้วในฌานทุกเมื่อ
พากเพียรอยู่ตลอดวันและคืน ไม่มีความ
อาลัยในชีวิต ชนะเสนาของมัจจุราชแล้ว
ไม่กลับมาสู่ภพใหม่ นักปราชญ์นั้นคือ
โคธิกกุลบุตร ได้ถอนตัณหาพร้อมด้วย
ราก ปรินิพพานแล้ว.

พิณได้พลัดตกจากรักแร้ของมารผู้มีความเศร้าโศก ในลำดับนั้น
ยักษ์นั้นมีความโทมนัส หายไปในที่นั้นนั่นเอง.

อรรถกถาโคธิกสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในโคธิกสูตรที่ 3 ต่อไป :-
บทว่า อิสิคิลิปสฺเส ได้แก่ ข้างภูเขาชื่อ อิสิคิลิ. บทว่า กาฬสิลายํ
ได้แก่ ก้อนหินสีดำ. บทว่า สามายิกํ เจโตวิมุตฺติ ความว่า สมาบัติฝ่าย
โกลิกะ ชื่อว่า สามายิกาเจโตวิมุตติ เพราะจิตหลุดพ้นจากธรรมที่เป็นข้าศึก
ในขณะที่จิตแนวแน่แนบแน่น และน้อมไปในอารมณ์. บทว่า ผุสิ ได้แก่
กลับได้. ในบทว่า ปริหายิ ถามว่า เพราะเหตุไร ท่านโคธิกะ จึงเสื่อมถึง
6 ครั้ง. ตอบว่า เพราะท่านมีอาพาธ. ได้ยินว่า พระเถระมีอาพาธเรื้อรัง
[ประจำตัว] โดยเป็นโรคลมน้ำดีและเสมหะ. ด้วยอาพาธนั้น พระเถระจึงไม่
อาจบำเพ็ญอุปการธรรมให้เป็นสัปปายะของสมาธิได้ จึงเสื่อมจากสมาบัติที่แน่ว
แน่แนบแน่นไปเสีย.
บทว่า ยนฺนูนาหํ สตฺถํ อาหเรยฺยํ ความว่า ได้ยินว่า พระเถระ
คิดจะฆ่าตัวตาย. ผู้มีฌานเสื่อมการทำกาละ. [ตาย] คติไม่แน่นอน. ผู้มีฌาน
ไม่เสื่อม คติแน่นอนคือย่อมบังเกิดในพรหมโลก เพราะฉะนั้น พระเถระจึง
ประสงค์จะฆ่าตัวตายเสีย. บทว่า อุปสงฺกมิ ความว่า มารคิดว่า สมณะนี้
ประสงค์จะฆ่าตัวตาย ก็ขึ้นชื่อว่า การฆ่าตัวตายนี้ ย่อมมีแก่ผู้ไม่เยื่อใยในร่างกาย
และชีวิต สมณะนั้นพิจารณามูลกัมมัฏฐานแล้ว ย่อมสามารถยึดแม้พระอรหัต
ไว้ได้ ถึงเราห้ามปราม เธอคงไม่ละเว้น ต่อพระศาสดาทรงห้ามปราม จึงจะ
เว้น ดังนี้ จึงทำเหมือนหวังดีต่อพระเถระ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า.
บทว่า ชลํ แปลว่า รุ่งเรืองอยู่. บทว่า ปาเท วนฺทามิ จกฺขุม
ความว่า ท่านผู้มีจักษุด้วยจักษุทั้ง 5 ข้าพระองค์ขอไหว้พระบาทของพระองค์.