เมนู

บุคคลฆ่าความโกรธนั้นเสียแล้ว ย่อมไม่
เศร้าโศก.

ฆัตวาสูตรที่ 1 แห่งตติยวรรคมีเนื้อความกล่าวมาแล้ว.

2. ทุพพัณณิยสูตร



ว่าด้วยความโกรธทำให้ผิวพรรณทราม



[946] สาวัตถีนิทาน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ยักษ์ตนหนึ่งมีผิวพรรณทราม
ต่ำเตี้ยพุงพลุ้ย นั่งอยู่บนอาสนะแห่งท้าวสักกะจอมเทพ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ได้ยินว่า ในที่นั้น พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์พากันยกโทษตำหนิติเตียนว่า ดูก่อน
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย น่าอัศจรรย์หนอ ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย ไม่เคยมีมา
แล้วหนอ ยักษ์นี้มีผิวพรรณทราม ต่ำเตี้ย พุงพลุ้ย นั่งอยู่บนอาสนะแห่งท้าว-
สักกะจอมเทพ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ยกโทษตำหนิติเตียน
ด้วยประการใด ๆ ยักษ์นั้นยิ่งเป็นผู้มีรูปงามทั้งน่าดูน่าชมและน่าเลื่อมใสยิ่งขึ้นกว่า
เดิมด้วยประการนั้น ๆ.
[947] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์พา
กันเข้าไปเฝ้าท้าวสักกะจอมเทพถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้นิรทุกข์ ขอประทานโอกาสขอพระองค์ ยักษ์ตนหนึ่งมีผิวพรรณ
ทราม ต่ำเตี้ย พุงพลุ้ย นั่งอยู่บนอาสนะของพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ได้ทราบว่า ณ ที่นั้นพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์พากันยกโทษตำหนิติเตียนว่า ดู
ก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย น่าอัศจรรย์หนอ ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ไม่เคย

มีมาหนอ ยักษ์นี้มีผิวพรรณทราม ต่ำเตี้ย พุงพลุ้ย นั่งอยู่บนอาสนะของท้าว-
สักกะจอมเทพ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ยกโทษตำหนิ
ติเตียนด้วยประการใด ๆ ยักษ์นั้นยิ่งเป็นผู้มีรูปงามทั้งน่าดูน่าชมและน่าเลื่อมใส
ยิ่งกว่าเดิม ด้วยประการนั้น ๆ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ยักษ์นั้นจักเป็นผู้มี
ความโกรธเป็นอาหารเป็นแน่เทียว ขอเดชะ.
[948] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทพเสด็จ
เข้าไปหายักษ์ผู้มีความโกรธเป็นอาหารนั้นจนถึงที่อยู่ ครั้นแล้วทรงห่มผ้าเฉวียง
พระอังสาข้างหนึ่ง ทรงคุกพระชานุมณฑลเบื้องขวาลง ณ พื้นดิน ทรงประนม
อัญชลีไปทางที่ยักษ์ตนนั้นอยู่ แล้วประกาศพระนาม 3 ครั้งว่า ดูก่อนท่านผู้
นิรทุกข์ เราคือท้าวสักกะจอมเทพ... ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ เราคือท้าวสักกะ
จอมเทพ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท้าวสักกะจอมเทพทรงประกาศพระนามด้วย
ประการใด ๆ ยักษ์ตนนั้นยิ่งมีผิวพรรณทรามและต่ำเตี้ยพุงพลุ้ยยิ่งกว่าเดิม ยักษ์
นั้นเป็นผู้มีผิวพรรณทรามและต่ำเตี้ยพุงพลุ้ยยิ่งกว่าเดิมแล้ว ได้หายไป ณ ที่นั้น
นั่นเอง.
[949] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทพประทับ
นั่งบนอาสนะของพระองค์แล้ว เมื่อจะทรงยังพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ให้ยินดี
จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ไว้ในเวลานั้นว่า
เราเป็นผู้มีจิตอันโทสะไม่กระทบ
กระทั่ง เป็นผู้อันความหมุน (มาร) นำ
ไปไม่ได้ง่าย เราไม่โกรธมานานแล ความ
โกรธ ย่อมไม่ตั้งอยู่ในเรา ถึงเราโกรธ
ก็ไม่กล่าวคำหยาบ และไม่กล่าวคำไม่ชอบ
ธรรม เห็นประโยชน์ของตนจึงข่มตนไว้.

อรรถกถาทุพพัณณิยสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในทุพพัณณิยสูตรที่ 2 ต่อไปนี้ :-
บทว่า ทุพฺพณฺโณ ได้แก่ มีผิวเหมือนตอถูกไฟเผา. บทว่า
โอโกฏิมโก ได้แก่ ต่ำเตี้ยพุงพลุ้ย. บทว่า อาสเน ได้เเก่ บัณฑุกัมพล-
ศิลา. บทว่า โกธภกฺโข ยกฺโข นี้ เป็นชื่อที่ท้าวสักกะตั้งให้. ก็ยักษ์
ตนหนึ่งนั้นเป็นรูปาวจรพรหม. นัยว่า ท้าวสักกะสดับมาว่า ยักษ์ถึงพร้อมด้วย
กำลังคือขันติ จึงเสด็จมาเพื่อทดลองดู. ก็อวรุทธกยักษ์ ไม่อาจเข้าไปยังที่ที่
อารักขาไว้เห็นปานนี้ได้. บทว่า อุปสงฺกมิ ความว่า ท้าวสักกะฟังพวก
เทวดาแล้วคิดว่า ไม่สามารถให้ยักษ์นี้หวั่นไหวได้ ด้วยถ้อยคำหยาบ อันผู้
ประพฤติถ่อมตนตั้งอยู่ในขันติ จึงจะสามารถให้ยักษ์หนีไปได้ดังนี้ มีพระ
ประสงค์จะให้ยักษ์นั้นหนีไปด้วยประการนั้น จึงเสด็จเข้าไปหา. บทว่า
อนฺตรธายิ ความว่า เมื่อท้าวสักกะทรงดำรงอยู่ในขันติ ทำความเคารพ
อย่างแรงกล้าให้ปรากฏแสดงความถ่อมตน ยักษ์นั้น ไม่อาจจะอยู่บนอาสนะ
ของท้าวสักกะได้ จึงหนีไป. คำว่า สุ ในบทนี้ว่า น สุปหตจิตฺโตมฺหิ
เป็นเพียงนิบาต. ท่านกล่าวว่า เราเป็นผู้มีจิตอันโทษะไม่กระทบแล้ว. บทว่า
นาวฏฺเฏน สุวานโย ท่านกล่าวว่า เราเป็นผู้อันความหมุนไปด้วยความโกรธ
นำไปไม่ได้ง่าย คือเราเป็นผู้ไม่กระทำง่ายเพื่อเป็นไปในอำนาจด้วยความโกรธ.
คำว่า โว ในบทว่า น โว จิราหํ เป็นเพียงนิบาต. ท่านกล่าวว่า เรา
ไม่โกรธมานานแล้ว.
จบอรรถกถาทุพพัณณิยสูตรที่ 2