เมนู

เป็นผล ทานที่ให้แล้วในที่ไหนมีผลมาก
พระพุทธเจ้าข้า.

[924] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ท่านผู้ปฏิบัติ 4 จำพวก ท่านผู้ตั้งอยู่
ในผล 4 จำพวก นั่นคือพระสงฆ์ เป็น
ผู้ซื่อตรง ประกอบด้วยปัญญาและศีล
เมือมนุษย์ทั้งหลายผู้เป็นสัตว์ปรารถนาบุญ
บูชาอยู่ กระทำบุญมีอุปธิเป็นผล ทานที่
ให้แล้วในสงฆ์มีผลมาก.


อรรถกถายชมานสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในยชมานสูตรที่ 6 ต่อไปนี้ :-
บทว่า ยชมานํ แปลว่า บูชาอยู่. มีเรื่องเล่าว่า ในครั้งนั้นพวก
ชาวอังคะและมคธ. ได้ถือเอาเนยใส น้ำผึ้งและน้ำอ้อยเป็นต้นอย่างเลิศเป็น
ประจำปี เอาฟืนบรรทุกเกวียนประมาณ 60 เล่ม กองสุมไว้ในที่แห่งหนึ่ง
แล้วก่อไฟ ขณะที่ไฟลุก ใส่ของเลิศทั้งหมดนั้นด้วยหมายว่า พวกเราจะบูชา
ท้าวมหาพรหม. นัยว่าเป็นความเธอถือของพวกเขาว่า ใส่ลงไปครั้งหนึ่งจะให้
ผลแสนเท่า.
ท้าวสักกเทวราชดำริว่า พวกคนทั้งหมดนี้ถือเอาของเลิศทั้งปวงเผาใน
ไฟด้วยหมายว่า พวกเราจะบูชาท้าวมหาพรหม ทำสิ่งไร้ผล เมื่อเราเห็นอยู่
พวกเขาอย่าได้พินาศเสียเลย เราจักกระทำโดยที่ให้พวกเขาถวายแด่พระพุทธเจ้า

และพระสงฆ์เท่านั้น แล้วจะประสบบุญมากดังนี้ เมื่อพวกคนทำกองฟืน ให้
โชติช่วง แลดูอยู่จึงทรงแปลงเป็นพรหมในวัน 15 ค่ำ เมื่อมหาชนแลดูอยู่
นั่นเอง ได้ทำเป็นเหมือนแหวกจันทมณฑลออกไป. มหาชน ครั้นเห็นแล้ว
ต่างก็คิดว่า ท้าวมหาพรหม เสด็จมารับเครื่องบูชานี้ จึงคุกเข่าลงกับพื้น
ประคองอัญชลี นอบน้อมอยู่. พวกพราหมณ์กล่าวว่า พวกท่านสำคัญว่า
เราพูดเล่นหรือ บัดนี้พวกท่านจงดูซิ พระพรหมองค์นี้ มารับเครื่องบูชา
ของพวกเราด้วยมือตนเอง. ท้าวสักกะเสด็จมายืนอยู่บนอากาศ เบื้องบน
กองฟืน ตรัสถามว่า สักการะนี้เพื่อโครกัน มีคนทูลว่า ข้าแต่ท้าวมหาพรหมผู้
เจริญ เพื่อพระองค์นี้ซิ ขอพระองค์จงทรงรับ เครื่องบูชาของพวกข้าพเจ้าเถิด.
มหาพรหมตรัสว่า ถ้ากระนั้น พวกท่านจงมา อย่าทิ้งเครื่องชั่งเสียแล้วชั่ง
ด้วยมือ พระศาสดาประทับอยู่ที่วิหารใกล้ ๆ พวกเราจักทูลถามพระองค์ว่า
ให้ทานแก่ใคร จึงจะมีผลมากดังนี้. ท้าวสักกะทรงพาพวกชาวแคว้นทั้งสอง
ไปเฝ้าพระศาสดา เมื่อจะทูลถามจึงตรัสอย่างนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า
ปุญฺญเปกฺขานํ ได้แก่ ปรารถนาบุญ คือมีความต้องการบุญ. บทว่า
โอปธิกํ ปุญฺญํ ได้แก่ บุญมีอุปธิเป็นวิบาก. บทว่า สํเฆ ทินฺนํ มหปฺผลํ
ความว่า ทานที่ถวายในพระอริยสงฆ์ ย่อมมีผลกว้างขวาง. เมื่อุเทศน์จบ
ชนแปดหมื่นสี่พันได้ดื่มน้ำคืออมฤตธรรม. ตั้งแต่นั้นมา พวกคนได้พากัน
ถวายทานอันเลิศทั้งปวงแก่ภิกษุสงฆ์.
จบอรรถกถายชมานสูตรที่ 6

7. วันทนสูตร



ท้าวสักกะและท้าวสหัมบดีพรหมกล่าวคำสุภาษิต



[925] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี.
ก็โดยสมสัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหลีกเร้นอยู่ในมราพักกลางวัน.
ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทพ และท้าวสหัมบดีพรหมเสด็จเข้าไป
เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นแล้ว ได้ประทับยืนพิงบานพระทวารอยู่องค์ละบาน.
[926] ลำดับนั้นแล ท้าวสักกะจอมเทพได้ตรัสพระคาถานี้ ใน
สำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้แกล่วกล้า ทรงชนะ
สงครามแล้ว ทรงปลงภาระลงแล้ว ไม่
ทรงมีหนี้ ขอเชิญพระองค์เสด็จลุกขึ้น
เที่ยวไปในโลกเถิด อนึ่ง จิตของพระองค์
หลุดพ้นดีแล้ว เหมือนพระจันทร์ในราตรี
วันเพ็ญ ฉะนั้น.

[927] ท้าวสหัมบดีพรหมตรัสค้านว่า ดูก่อนจอมเทพ พระองค์ไม่
ควรกราบทูลพระตถาคตอย่างนี้เลย แต่ควรจะกราบทูลพระตถาคตอย่างนี้แลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้แกล้วกล้า ทรงชนะ
สงครามแล้ว ทรงเป็นผู้นำพวก ไม่ทรง
มีหนี้สิน ขอเชิญพระองค์เสด็จลุกขึ้น
เที่ยวไปในโลก ขอเชิยพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดงธรรม จักมีผู้รู้ทั่วถึงพระธรรมเป็น
แน่.