เมนู

9. กัสสกสูตร



ว่าด้วยมารแปลงเพศเป็นชาวนา



[470] สาวัตถีนิทาน.
ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้
สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาเกี่ยวด้วยพระนิพพาน และ
ภิกษุเหล่านั้นทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ น้อมนึกมาด้วยความเต็มใจ เงี่ยโสต
ลงสดับธรรมอยู่.
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปได้มีความคิดว่า พระสมณโคดมนี้แล ทรงยัง
ภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา
เกี่ยวด้วยพระนิพพาน ถ้ากระไร เราพึงเข้าไปใกล้พระสมณโคดมถึงที่ประทับ
เพื่อทำปัญญาจักษุให้พินาศ.
[471] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปจึงนิรมิตเพศเป็นชาวนาแบกไถใหญ่
ถือปฏักมีด้ามยาว มีผมยาวรุงรังปกหน้าปกหลัง นุ่งผ้าเนื้อหยาบ เท้าทั้งสอง
เปื้อนโคลน เข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า
ข้าแต่สมณะ ท่านได้เห็นโคทั้งหลายบ้างไหม.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า แน่ะมารผู้มีบาป ท่านจะต้องการ
อะไรด้วยโคทั้งหลายเล่า.
มารกราบทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ จักษุเป็นของเราแท้ รูปก็เป็น
ของเรา อายตนะคือวิญญาณอันอาศัยจักษุสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเรา
ไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ โสตเป็นของเรา เสียงเป็นของเรา อายตนะคือ
วิญญาณอันอาศัยโสตสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ
จมูกเป็นของเรา กลิ่นเป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันอาศัยฆานสัมผัส

ก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ ลิ้นเป็นของเรา รสเป็น
ของเรา อายตนะคือวิญาณอันอาศัยชิวหาสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเรา
ไปไหนพ้น ข้าแต่สมณะ กายเป็นของเรา โผฏฐัพพะเป็นของเรา อายตนะ
คือวิญญาณอันอาศัยกายสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น ข้าแต่
สมณะ ใจเป็นของเรา ธรรมารมณ์เป็นของเรา อายตนะคือวิญญาณอันอาศัย
มโนสัมผัสก็เป็นของเรา ท่านจะหนีเราไปไหนพ้น.
[472] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมารผู้มีบาป จักษุเป็น
ของท่าน รูปเป็นของท่าน อายตนะคือวิญญาณอันอาศัยจักษุสัมผัสก็เป็นของ
ท่านแท้ ดูก่อนมารผู้มีบาป แต่ในที่ใด ไม่มีจักษุ ไม่มีรูป ไม่มีอายตนะ
คือวิญญาณอันอาศัยจักษุสัมผัส ที่นั้นมิใช่ทางดำเนินของท่าน โสตเป็นของท่าน
เสียงเป็นของท่าน อายตนะคือวิญญาณอันอาศัยโสตสัมผัสก็เป็นของท่าน แต่ใน
ที่ใด ไม่มีโสต ไม่มีเสียง ไม่มีอายตนะคือวิญญาณอันอาศัยโสตสัมผัส ที่นั้น
มิใช่ทางดำเนินของท่าน จมูกเป็นของท่าน กลิ่นเป็นของท่าน อายตนะคือ
วิญญาณอันอาศัยฆานสัมผัสเป็นของท่าน ฯลฯ ลิ้นเป็นของท่าน รสเป็น
ของท่าน อายตนะคือวิญาณอันอาศัยชิวหาสัมผัสเป็นของท่าน ฯลฯ กายเป็น
ของท่าน โผฏฐัพพะเป็นของท่าน อายตนะคือวิญญาณอันอาศัยกายสัมผัสเป็น
ของท่าน ฯลฯ ใจเป็นของท่าน ธรรมารมณ์ทั้งหลายเป็นของท่าน อายตนะ
คือวิญญาณอัน อาศัยมโนสัมผัสก็เป็นของท่าน แต่ในที่ใด ไม่มีใจ ไม่มี
ธรรมารมณ์ ไม่มีอายตนะคือวิญญาณอันเกิดแต่มโนสัมผัส ที่นั้นมิใช่ทาง
ดำเนินของท่าน.

[473] มารกราบทูลว่า
ชนเหล่าใดกล่าวถึงสิ่งใดว่า นี้ของ
เรา และกล่าวว่า นี้เป็นเรา ถ้าใจของท่าน
มีอยู่ในสิ่งนั้น ข้าแต่สมณะ ท่านก็จะไม่
พ้นเราไปได้.

[474] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ชนเหล่าใดกล่าวถึงสิ่งใด สิ่งนั้นไม่
มีแก่เรา ชนเหล่าใดกล่าว ชนเหล่านั้น
ไม่ใช่เรา ดูก่อนมารผู้มีบาป ท่านจงรู้
อย่างนี้ ท่านย่อมไม่เห็นแม้ทางของเรา.

ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
รู้จักเรา พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้หายไปในที่นั้นนั่นเอง.

อรรถกถากัสสกสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในกัสสกสูตรที่ 9 ต่อไป :-
บทว่า นิพฺพานปฏิสํยุตฺตาย ได้แก่ ที่อ้างพระนิพพานเป็นไปแล้ว.
บทว่า ทฏหฏเกโส ได้แก่ นำผมหน้าไว้ข้างหลัง นำผมหลังไว้ข้างหน้า
นำผมข้างซ้ายไว้ข้างขวา นำผมข้างขวาไว้ข้างซ้าย ชื่อว่า มีผมกระจายยุ่งเหยิง
บทว่า มม จกฺขุสมฺผสฺสวิญฺญาณายตนํ ได้แก่ จักษุสัมผัสที่ประกอบด้วย
จักขุวิญญาณ. จักษุสัมผัสนั้นก็ดี วิญญาณายตนะก็ดี เป็นของเรา. ก็ในคำว่า
มเมว ของเรานี้ ท่านถือเอาธรรมทั้งหลายที่ประกอบด้วยวิญญาณ ด้วยจักษุสัมผัส