เมนู

อรรถกถาสูจิโลมสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในสูจิโลมสูตรที่ 3 ต่อไปนี้ :-
บทว่า คยายํ คือในบ้านคยา. อธิบายว่า เข้าไปอาศัยบ้านที่ตั้งไม่
ไกลจากคยา. บทว่า ฏงฺกิตมญฺเจ ความว่า เตียงที่เท้ายาวคือเตียงที่เขาเจาะ
ในท่ามกลางสอดทำด้วยแม่แคร่. เตียงนั้นไม่มีคำว่า นี้ข้างบน นี้ข้างล่าง. เตียง
นั้นจะเปลี่ยนไปเป็นเช่นนั้นก็ได้ตามต้องการ. เขาย่อมตั้งเตียงนั้นไว้ในเทวสถาน
โรงเรือนที่เขาปูลาดแผ่นหินไว้บนแผ่นหิน 4 แผ่น เขาเรียกว่า เตียงซ้อนตั่ง.
บทว่า สูจิโลมสฺส คือมีชนเช่นหนามแข็ง. ได้ยินว่า ยักษ์นั้น บวชใน
ศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า กัสสป มาแต่ที่ไกล มีเหงื่อไคล
ท่วมตัว ไม่ลาดเตียงของสงฆ์ที่เขาแต่งตั้งไว้ดีแล้ว นอนด้วยความไม่เอื้อเฟื้อ.
ภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์นั้นได้มีการกระทำนั้น เหมือนสีดำที่ผ้าขาว. เธอไม่อาจยังคุณ
วิเศษให้เกิดขึ้นในอัตภาพนั้นได้ ทำกาละแล้วมาเกิดเป็นัยกษ์ที่ทิ้งขยะ ใกล้
ประตูบ้านคยา. ก็เมื่อเขาเกิดมาแล้ว ก็มีขนแหลมแข็งทั่วตัวคล้ายขนวัว. ต่อมา
วันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแลดูโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นยักษ์นั้น
มาสู่ครองอาวัชชนจิตครั้งแรก จึงทรงดำริว่า ยักษ์นี้เสวยทุกข์ใหญ่ตลอดพุท-
ธันดรหนึ่ง ความสวัสดีจะพึงมีแก่เขาเพราะอาศัยเราหรือไม่หนอ ทรงเห็น
อุปนิสัยแห่งมรรคเบื้องต้น. ลำดับนั้น ทรงใคร่จะทำการสงเคราะห์ยักษ์นั้น
ทรงนุ่งผ้า 2 ชั้นที่ย้อมแล้ว ห่มจีวรใหญ่ขนาดสุคตประมาณละพระคันธกุฎีดุจ
วิมานเทวดา เสด็จไปสู่ที่ทิ้งขยะ เหม็นด้วยทรากศพช้างวัวม้ามนุษย์และสุนัข
เป็นต้น ประทับนั่งในที่นั้นเหมือนนั่งในพระคันธกุฎีใหญ่.

ท่านหมายเอาความข้อนั้นจึงกล่าวว่า ในที่อยู่ของยักษ์สูจิโลมะ ดังนี้.
บทว่า ขโร ความว่า มีรูปร่างแข็งทื่อเหมือนหลังจระเข้ เหมือนหลังคา
ไม่เรียบด้วยกระเบื้องมุงหลังคา. ได้ยินว่า เขาเป็นอุบาสกผู้ประกอบด้วยศีล
ในสมัยพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ วันหนึ่ง ไม่ได้ปูผ้าห่มของตนบนที่ปูลาด
ของสงฆ์ นอนบนพื้นที่ปูลาดไว้ด้วยเครื่องปูลาดอันวิจิตรในวิหาร. อาจารย์
บางพวกกล่าวว่า แบ่งน้ำมันของสงฆ์ทาสรีระด้วยมือของตน. เขาไม่อาจเกิด
ในสวรรค์ด้วยกรรมนั้น มาเกิดเป็นยักษ์ที่กองขยะใกล้ประตูบ้านแห่งบ้านคยา
นั้น. ก็แลสรีระทั้งสิ้นของเขาผู้เกิดแล้ว จึงมีประการดังกล่าวแล้ว. เขาทั้ง 2
เป็นสหายกัน. ความแข็งทื่อของยักษ์นั้น พึงทราบด้วยประการฉะนั้นแล.
บทว่า อวิทูเร อติกฺกมนฺติ ความว่า ยักษ์ 2 ตนนั้นแสวงหา
อาหารหรือไปสู่ที่สมาคม ไปในที่ใกล้กัน. ในยักษ์ 2 ตนนั้น ยักษ์สูจิโลมะ
ไม่เห็นพระศาสดา. ยักษ์ขระเห็นก่อนจึงพูดกะยักษ์สูจิโลมะว่า นั่นสมณะ. ยักษ์
สูจิโลมะจึงกล่าวว่า ดูก่อนสหาย สมณะนี้เข้ามายังที่อยู่ของท่านไปนั่งอยู่
คนเดียว. ยักษ์สูจิโลมะกล่าวว่า นั่นไม่ใช่สมณะ นั่นเป็นสมณกะ. ได้ยินว่า
เขาสำคัญว่า ผู้ใดเห็นเราแล้วกลัวหนีไป เขาเรียกผู้นั้นว่าสมณกะ. ผู้ใดไม่กลัว
เขาเรียกผู้นั้นว่า สมณะ. เพราะฉะนั้น ยักษ์สูจิโลมะสำคัญว่า ผู้นี้เห็นเรา
แล้วกลัวจักหนีไป ดังนี้ จึงกล่าวอย่างนี้. บทว่า กายํ อุปนาเมสิ ความว่า
เนรมิตรูปที่น่ากลัว อ้าปากกว้าง พองขนทั่วตัว น้อมเข้าไปหา. บทว่า
อปนาเมสิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าหลีกไปหน่อยหนึ่ง เหมือนทองอัน
มีค่าประกอบด้วยรัตนะร้อยอย่าง. บทว่า ปาปโก คือเลว ไม่น่าชื่นใจ.
เขาควรจะถูกเว้นเหมือนคูถ เหมือนไฟ และเหมือนงูเห่า คือไม่ควรรับด้วย
สรีระอันมีผิวพรรณดุจทองนี้. ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ ยักษ์
สูจิโลมะโกรธต่อคำว่า ได้ยินว่า สัมผัสของเราเลว ดังนี้ จึงกล่าวคำว่า

ปญฺหํ ตํ สมณ เป็นต้น. บทว่า จิตฺตํ วา เต ขิปิสฺสามิ ความว่า
จริงอยู่ อมนุษย์ต้องการจะซัดจิตของคนเหล่าใด มันก็เนรมิตอัตภาพที่น่ากลัว
ให้มีหน้าขาว ท้องเขียว มือและเท้าแดง ศีรษะโต นัยน์ตาถลน แสดงแก่
คนเหล่านั้น ส่งเสียงที่น่ากลัว ยัดมือเข้าในปากของพวกคนกำลังพูด ขยี้หัวใจ
สัตว์เหล่านั้นย่อมเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน. ยักษ์สูจิโลมะหมายถึงความข้อนั้น
จึงกล่าวอย่างนี้. บทว่า ปารคงฺคาย ความว่า เขากล่าวว่า หรือว่า เราจัก
จับเท้าทั้ง 2 แห่งท่านขว้างข้ามฝั่งแม่น้ำคงคาไปอย่างที่จะกลับมาไม่ได้. บทว่า
สเทวเก เป็นต้น มีเนื้อความตามที่กล่าวแล้ว.
บทว่า ปจฺฉ ยทา กงฺขสิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
ปวารณาอย่างผู้รู้ว่า ท่านต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็จงถามได้ทั้งหมด เราจัก
ชี้แจงแก่ท่านไม่ให้เหลือ. บทว่า กุโต นิทานา ความว่า มีอะไรเป็น
เค้ามูล มีอะไรเป็นปัจจัย. บทว่า กุมารกา ธงฺกมิโวสฺสชฺชนฺติ ความว่า
ถามว่า พวกเด็กจับกามาแล้วปล่อยขว้างไปฉันใด บาปวิตกที่ตั้งขึ้นจากที่ไหน
ก็ปล่อยจิตไปฉันนั้น. บทว่า อิโตนิทานา ความว่า อัตภาพนี้เป็นต้น เค้า
ของวิตกเหล่านั้น เหตุนั้น วิตกนั้นจึงชื่อว่าอิโตนิทานา (มีอัตภาพเเป็นต้นเค้า).
บทว่า อิโตชา แปลว่า เกิดจากอัตภาพนั้น. บทว่า อิโต สมุฏฺฐาย
มโนวิตกฺกา
ความว่า พวกเด็กผูกเชือกที่ข้อขาของมันแล้วปล่อยกาที่ผูกไว้
ด้วยเชือกยาว แม้มันไปได้ไกลก็ตกลงมาแทบเท้าของเด็กเหล่านั้นอีกฉันใด.
บาปวิตกที่ตั้งขึ้นจากอัตภาพนี้ก็ปล่อยจิตฉันนั้น. บทว่า เสฺนหชา ได้แก่
เกิดจากยางคือตัณหา. บทว่า อตฺตสมฺภูตา แปลว่า เกิดในตน. บทว่า
นิโคฺรธสฺเสว ขนฺธชา คือ เหมือนรากที่เกิดจากต้นไทร. บทว่า ปุถู
คือ บาปวิตกและกิเลสที่ประกอบด้วยบาปวิตกนั้นมากคือหลายประการ. บทว่า
วิสตฺตา ได้แก่ ติด เกี่ยว ข้อง. บทว่า กาเมสุ ได้แก่ วัตถุกาม. บทว่า

มาลุวา วิตฺถตา วเน ความว่า เถาย่านไทรในป่าอาศัยต้นไม้ใดเกิดขึ้น
มันพันต้นไม้นั้นทบไปมา ตั้งแต่โคนถึงยอด ตั้งแต่ยอดถึงโคน ปกคลุมห้อย
ย้อยขยายไปอยู่ฉันใด กิเลสกามเป็นอันมากข้องอยู่ในวัตถุกามหรือสัตว์เป็น
อันมากข้องอยู่ในวัตถุกามด้วยกิเลสกามนั้น ฉันนั้น . บทว่า เย นํ ปชานนฺติ
ความว่า ก็ผู้ใด ย่อมรู้อัตภาพตามที่กล่าวไว้ในบทว่า อตฺตสมฺภูตา
(เกิดในตน) นี้. บทว่า ยโตนิทานํ ความว่า ย่อมรู้สิ่งที่เป็นต้นเค้าของ
อัตภาพนั้น. บทว่า เต นํ วิโนเทนฺติ ความว่า ผู้นั้นย่อมบรรเทาคือ
นำออกซึ่งสมุทัยสัจอันเป็นต้นเค้าของทุกขสัจกล่าวคืออัตภาพ ด้วยมรรคสัจ
ด้วยประการฉะนี้. บทว่า เต ทุตฺตรํ ความว่า ผู้นั้นเมื่อนำสมุทัยสัจ
ออกได้จึงข้ามโอฆะคือกิเลสที่ข้ามยากนี้ได้. บทว่า อติณฺณปุพฺพํ ความว่า
ไม่เคยข้ามสังสารวัฏที่มีเบื้องปลายที่ใคร ๆ รู้ไม่ได้ แม้ในภายในแห่งความฝัน.
บทว่า อปุนพฺภวาย ความว่า เพื่อประโยชน์แก่นิโรธสัจคือความไม่เกิดอีก.
เพราะเหตุนี้ เพื่อจะทรงประกาศอริยสัจ 4 ด้วยคาถานี้ จึงทรงยัง
พระธรรมเทศนาให้จบลงด้วยธรรมมีพระอรหัตเป็นยอด. ในที่สุดแห่งเทศนา
ยักษ์สจิโลมะยืนอยู่ในที่นั้น เอง ส่งญาณไปตามกระแสพระธรรมเทศนาแล้ว
ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล. ก็ชื่อว่า พระโสดาบันทั้งหลายย่อมไม่ตั้งอยู่ในอัตภาพ
ที่เศร้าหมอง เพราะฉะนั้น หัวหูด ขนแหลมอย่างเข็มทั้งปวงที่ร่างกายของ
ยักษ์สูจิโลมะ จึงร่วงไปพร้อมกับได้โสดาปัตติผล. ยักษ์สูจิโลมะนั้นจึงนุ่งผ้า
ทิพย์ ห่มผ้าทิพย์ โพกผ้าทิพย์ ทรงเครื่องประดับของหอมและมาลัยทิพย์
มีผิวพรรณดังทอง ได้ปกครองภุมมเทวดา.
จบอรรถกถาสูจิโลมสูตร ที่ 3

4. มณิภัททสูตร



ผู้มีส่วนแห่งเมตตาไม่มีเวร



[811] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่เจดีย์ชื่อมณิมาฬกะ
อันเป็นที่ครอบครองของยักษ์ชื่อมณิภัททะ ในแคว้นมคธ.
[812] ครั้งนั้นแล ยักษ์ชื่อมณิภัททะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า
ความเจริญย่อมมีแก่คนมีสติทุกเมื่อ
คนมีสติย่อมได้ความสุข ความดีย่อมมีแก่
คนมีสติเป็นนิตย์ และคนมีสติย่อมหลุดพ้น
จากเวร.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ความเจริญย่อมมีแก่คนมีสติทุกเมื่อ
คนมีสติย่อมได้ความสุข ความดีย่อมมี
แก่คนมีสติเป็นนิตย์ แต่คนมีสติยังไม่
หลุดพ้นจากเวร.

[813] ผู้ใดมีใจยินดีในความไม่เบียดเบียน
ตลอดวันและคืนทั้งหมด และเป็นผู้มี
ส่วนแห่งเมตตาในสรรพสัตว์ ผู้นั้นย่อม
ไม่มีเวรกับใคร.