เมนู

ยักขสังยุตตวัณณนา



อรรถกถาอินทกสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในอินทกสูตรที่ 1 แห่งยักขสังยุตต่อไปนี้ :-
บทว่า อินฺทกสฺส คือ ยักษ์อยู่ที่เขาอินทกูฏ. จริงอยู่ พระสูตรนี้
ได้ชื่อจากยักษ์กับยอด และจากยอดกับยักษ์. บทว่า รูปํ น ชีวนฺติ วทนฺติ
ความว่า ถ้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่กล่าวรูปอย่างนี้ว่า สัตว์ บุคคล. บทว่า
กถํ นฺวยํ ตัดบทว่า กถํ นุ อยํ. บทว่า กุตสฺส อฏฺฐิยกปิณฺฑเมติ
ความว่า กระดูกและก้อนเนื้อของสัตว์นั้นจะมาแต่ไหน. ก็ในคำนี้ ท่านถือเอา
กระดูก 300 ท่อนด้วยศัพท์ว่า อัฏฐิ ชิ้นเนื้อง 900 ด้วยศัพท์ว่า ยกปิณฑะ.
ถามว่า ถ้ารูปไม่ใช่ชีวะ เมื่อเป็นเช่นนั้น กระดูกเหล่านี้และชิ้นเนื้อ
เหล่านี้ของเขาย่อมมาแต่ไหน. บทว่า กถํ นฺวยํ สชฺชติ คพฺภสฺมึ ความว่า
สัตว์นี้ติดอยู่คือข้องอยู่ เกิดอยู่ในครรภ์ของมารดา ด้วยเหตุไรหนอ. ได้ยินว่า
ยักษ์นี้มักพูดแต่บุคคลถือว่า สัตว์เกิดในครรภ์ของมารดาโดยการร่วมครั้งเดียว
ดังนี้ จึงกล่าวอย่างนี้ตามความเห็นว่า มารดาของสัตว์ที่เกิดในท้องย่อมกินปลา
และเนื้อเป็นต้น ปลาและเนื้อเป็นต้นทั้งปวงถูกเผาเพียงคืนเดียวก็ละลายไป
เหมือนฟองน้ำ ถ้ารูปไม่พึงเป็นสัตว์ก็พึงละลายไปอย่างนี้. ลำดับนั้น เมื่อ
พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงแสดงแก่ยักษ์นั้นว่า สัตว์ไม่ได้เกิดในครรภ์ของ
มารดาโดยการร่วมครั้งเดียวเท่านั้นว่า เจริญขึ้นโดยลำดับ จึงตรัสว่า ปฐมํ
กลลํ โหติ
เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปฐมํ ความว่า ชื่อว่า ติสสะ หรือว่า ปุสสะ
ย่อมไม่พร้อมกับปฏิสนธิวิญญาณทีแรก. โดยที่แท้ กลละมีประมาณเท่าหยาด
น้ำมันงาซึ่งตั้งอยู่ที่ปลายเส้นด้ายที่ทำด้วยเส้นขนสัตว์ 3 เส้น ท่านกล่าวหมาย-
ความว่า.

หยาดแห่งน้ำมันงา เนยใส ใสไม่
ขุ่นมัว ฉันใดเขาเรียกกันว่า กลละมีสี
คล้ายกัน ฉันนั้น.

บทว่า กลลา โหติ อมฺพุทํ* ความว่า เมื่อกลละนั้นล่วงไป 7 วัน
ก็มีสีเหมือนน้ำล้างเนื้อ จึงชื่อว่า อัมพุทะ. ชื่อว่า กสละ ก็หายไป. สมดังคำ
ที่ท่านกล่าวไว้ว่า
เป็นกลละอยู่ วัน ครั้นแก่ข้นขึ้น
เปลี่ยนภาวะนั้นเกิดเป็น อัมพุทะ.

บทว่า อมฺพุทา* ชายเต เปสิ ความว่า เมื่ออัมพุทะนั้นล่วงไป
7 วัน ก็เกิดเป็นเปสิ คล้ายดีบุกเหลว. เปสินั้นพึงแสดงด้วยน้ำตาลเม็ดพริกไทย.
จริงอยู่ เด็กชาวบ้านถือเอาพริกไทยสุกทำเป็นห่อไว้ที่ชายผ้าขยำเอาแต่ส่วนที่ดี
ใส่ลงในกระเบื้องตากแดด. เม็ดพริกไทยนั้นแห้ง ๆ ย่อมหลุดตกเปลือกทั้งหมด.
เปสิมีรูปร่างอย่างนี้. ชื่อว่า อัมพุทะก็หายไป. สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
เป็นอัมพุทะอยู่ 7 วัน แก่ข้นขึ้น
เปลี่ยนภาวะนั้น เกิดเป็นเปสิ
.
บทว่า เปสิ นิพฺพตฺตติ ฆโน ความว่า เมื่อเปสินั้นล่วงไป 7 วัน
ก้อนเนื้อชื่อ ฆนะ มีสัณฐานเท่าไข่ไก่เกิดขึ้น. ชื่อว่า เปสิก็หายไป. สมดัง
ที่ท่านกล่าวไว้ว่า
เป็นเปสิอยู่ 7 วัน ครั้นแก่ข้นขึ้น
เปลี่ยนภาวะนั้น เกิดเป็น ฆนะ สัณฐาน
แห่งฆนะเกิดขึ้นเพราะเหตุแห่งกรรม
เหมือนไข่ไก่ เกิดเป็นก้อนกลมโดยรอบ.

* บาลี เป็น อพฺพุทํ อพฺพุทา

บทว่า ฆนา จ สาขา ชายนฺติ ความว่า ในสัปดาห์ที่ 5 เกิดปุ่ม
ขึ้น 5 แห่ง เพื่อเป็นมือและเท้าอย่างละ 2 และเป็นศีรษะ 1. มีคำที่พระพุทธ
เจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในสัปดาห์ที่ 5 ปุ่มตั้งขึ้น 5 แห่ง ตามกรรม
ดังนี้. ต่อแต่นี้ไป ทรงย่อพระเทศนาผ่านสัปดาห์ที่ 6 ที่ 7 เป็นต้น เมื่อจะ
ทรงแสดงเอาเวลาที่ผ่านไป 42 สัปดาห์ จึงตรัสว่า ผมเป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า เกสา โลมา นขาปิ จ ความว่า ผม
เป็นต้นเหล่านี้ ย่อมเกิดใน 42 สัปดาห์. บทว่า เตน โส ตตฺถ ยาเปติ
ความว่า จริงอยู่ สายสะดือตั้งขึ้นจากสะดือของเด็กนั้น ติดเป็นอันเดียวกับ
แผ่นท้องของมารดา. สายสะดือนั้นเป็นรูเหมือนก้านบัว. รสอาหารแล่นไป
ตามสายสะดือนั้น ดังรูปซึ่งมีอาหารเป็นสมุฏฐานให้ตั้งขึ้น. เด็กนั้นย่อมเป็น
อยู่ 10 เดือน ด้วยประการฉะนี้. บทว่า มาตุ กุจฺฉิคโต นโร ความว่า
คนอยู่ในท้องมารดาคืออยู่ภายในท้อง.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ดูก่อนยักษ์ สัตว์นี้เจริญขึ้นในท้อง
ของมารดาโดยลำดับ ไม่ใช่เกิดโดยการร่วมครั้งเดียว.
จบอรรถกถาอินทกสูตรที่ 1

2. สักกสูตร



ว่าด้วยการสอนคนอื่น



[804] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่บนภูเขาคิชฌกูฏ
กรุงราชคฤห์.
[805] ครั้นนั้นแล ยักษ์มีชื่อว่าสักกะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้กราบทูลด้วยคาถาว่า