เมนู

บรรเลงแล้ว. บทว่า อภาสิ ความว่า ได้ยินว่า นกรุงเวสาลีมีพระราชาอยู่
7,707 องค์ อุปราชและเสนาบดีเป็นต้นของพระราชาเหล่านั้น ก็มีเท่านั้น
เหมือนกัน . เมื่อพระราชาเหล่านั้นแต่งตัวแล้วลงสู่ถนน เพื่อประสงค์จะเล้น
นักษัตร ภิกษุวัชชีบุตรเดินจงกรมอยู่ในที่จงกรมใหญ่ประมาณ 60 ศอก เห็น
พระจันทร์ลอยอยู่บนท้องฟ้า ยืนอาศัยแผ่นกระดานปลายที่จงกรมกล่าวแล้ว.
บทว่า อปวิฏฺฐํว วนสิ ทารุกํ ความว่า เหมือนท่อนไม้ที่เขาทิ้งไว้ในป่า
เพราะเป็นผู้เว้นจากเครื่องแต่งตัวคือผ้าโพก. บทว่า ปาปิโย ความว่า จะมี
ใครอื่นที่เลวไปกว่าเรา. บทว่า ปิหยนฺติ ความว่า เทวดาและมนุษย์เป็น
อันมากปรารถนาต่อท่านว่า พระเถระอยู่ป่า ถือผ้าบังสุกุล ถือบิณฑบาต
ถือเดินบิณฑบาตตามลำดับ มีความปรารถนาน้อย มีความสันโดษ. บทว่า
สคฺคคามินํ คือ กำลังไปสู่สวรรค์บ้าง ไปแล้วบ้าง.
จบอรรถกถาวัชชีปุตตสูตรที่ 9

10. สัชฌายสูตร



เทวดาเข้าหาพระสาธยายธรรม



[786] สมัยหนึ่ง ภิกษุรูปหนึ่ง พำนักอยู่ในแนวป่าแห่งหนึ่งใน
แคว้นโกศล สมัยนั้น ภิกษุนั้น นัยว่าเมื่อก่อนเป็นผู้มากไปด้วยการสาธยาย
เกินเวลาอยู่ สมัยต่อมา เธอเป็นผู้ขวนขวายน้อยเป็นผู้นิ่ง ยังกาลให้ล่วงไป.
[787] ครั้งนั้นแล เทวดาผู้สิงอยู่ในแนวป่านั้น ไม่ได้ฟังธรรม
ของเธอ จึงเข้าไปหาถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะเธอด้วยคาถาว่า

ภิกษุ ท่านอยู่ร่วมกับภิกษุทั้งหลาย
ย่อมไม่สาธยายบทแต่งพระธรรม เพราะ
เหตุไร บุคคลฟังธรรมแล้วย่อมได้ความ
เลื่อมใส ผู้กล่าวธรรมย่อมได้รับความ
สรรเสริญในทิฏฐธรรมเทียว.

[788] ภิกษุกล่าวตอบว่า
ความพอใจในบทแห่งพระธรรมได้
มีแล้วในกาลก่อน จนถึงกาลที่เรามาร่วม
ด้วยวิราคะ และเพราะเรามาร่วมด้วยวิราคะ
แล้ว สัตบุรุษทั้งหลายรู้ทั่วถึง รูป เสียง
กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ อย่างใด
อย่างหนึ่งแล้ว ได้กล่าวการวางเสีย.


อรรถกถาสัชฌายสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในสัชฌายสูตรที่ 10 ต่อไปนี้ :-
บทว่า ยํ สุทํ สักว่าเป็นนิบาต. บทว่า สชฺฌายพหุโล ความว่า
เมื่อท่องอยู่ด้วยอำนาจแห่งนิสสรณะและปริยัติ คือท่องตลอดเวลามากกว่า
ได้ยินว่า ภิกษุนั้นปัดกวาดที่พักกลางวันของอาจารย์แล้วยืนดูอาจารย์. เมื่อเห็น
อาจารย์นั้นกำลังเดินมา จึงลุกขึ้นไปรับบาตรและจีวร. เมื่ออาจารย์นั่งบน
อาสนะที่ปูไว้แล้ว ก็เอาพัดใบตาลพัดให้ บอกน้ำฉันให้ ล้างเท้า ทาน้ำมัน
ไหว้แล้วยืนเรียนอุเทศทำการท่องตลอดถึงพระอาทิตย์ตก. ภิกษุนั้น เอาน้ำ