เมนู

4. ปฏิรูปสูตร



ว่าด้วยทรงตั้งอยู่ในธรรมที่ควรสอน



[455] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ ศาลาหลังหนึ่ง ใน
พราหมณคาม แคว้นโกศล.
ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าแวดล้อมด้วยคฤหัสถ์บริษัท
หมู่ใหญ่ทรงแสดงธรรมอยู่.
ลำดับนั้น มารผู้มีบาปได้มีความคิดขึ้นว่า พระสมณโคดมนี้แวดล้อม
ด้วยคฤหัสถ์บริษัทหมู่ใหญ่ ทรงแสดงธรรมอยู่ ถ้ากระไร เราพึงเข้าไปหาพระ-
สมณโคดมถึงที่ประทับ เพราะประสงค์จะยังปัญญาจักษุให้พินาศ.
[456] ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่
ประทับ ครั้นแล้ว จึงทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
ท่านพร่ำสอนผู้อื่นด้วยสิ่งใด สิ่งนั้น
ไม่สมควรแก่ท่าน เมื่อท่านกล่าวถึงธรรม
นั้น อย่าได้ข้องอยู่ในความยินดียินร้าย

[457] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
พระสัมพุทธเจ้ามีปกติอนุเคราะห์
ด้วยจิตอันเกื้อกูล ทรงพร่ำสอนผู้อื่นด้วย
สิ่งใด ตถาคตมีจิตหลุดพ้นจากความยินดี
ยินร้ายในสิ่งนั้นแล้ว.

ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
รู้จักเรา พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้หายไปในที่นั้นนั่นเอง.

อรรถกถาปฏิรูปสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในปฏิรูปสูตรที่ 4 ต่อไป :-
บทว่า อนุโรธวิโรเธสุ ได้แก่ ในความยินดียินร้าย. บทว่า มา
สชฺชิตฺถ ตทาจรํ
ได้แก่ อย่ามัวยึดการกล่าวธรรมติดอยู่เลย. ด้วยว่า เมื่อ
ท่านกล่าวธรรมกถาอยู่ คนบางพวกถวายสาธุการ ก็เกิดความยินดีในคนพวก
นั้น คนบางพวกฟังไม่เคารพ ก็เกิดความยินร้ายในคนพวกนั้น ดังนั้น
พระธรรมกถึก ชื่อว่า ข้องอยู่ในความยินดียินร้าย ขอท่านอย่าข้องอย่างนั้นแล
มารกล่าวดังนี้. บทว่า ยทญฺญมนุสาสติ แปลว่า ย่อมสั่งสอนคนอื่นใด.
พระสัมพุทธะ ย่อมอนุเคราะห์ด้วยประโยชน์เกื้อกูล ชื่อว่า หิตานุกมฺปี ผู้
อนุเคราะห์ด้วยประโยชน์เกื้อกูล ก็เพราะเหตุที่ทรงอนุเคราะห์ด้วยประโยชน์
เกื้อกูล ฉะนั้น พระตถาคตจึงทรงหลุดพ้นจากความยินดียินร้ายแล.
จบอรรถกถาปฏิรูปสูตรที่ 4