เมนู

บทว่า วิสุทฺธิยา ได้แก่ เพื่อต้องการความบริสุทธิ์. บทว่า
สญฺโญชนพนฺธนจฺฉิทา ได้แก่ ตัดกิเลส กล่าวคือเครื่องประกอบ และกิเลส
กล่าวคือเครื่องผูกได้. บทว่า วิชิตสงฺคามํ ได้แก่ ชนะสงความคือ ราคะ
โทสะ โมหะ. แม้ชนะกองทัพมาร ก็ชื่อว่าชนะสงความ บทว่า สตฺถวาหํ
ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่า สัตถวาหะ เป็นผู้นำหมู่ เพราะทรง
นำหมู่เวไนยสัตว์ ยกขึ้นบนรถคือมรรคประกอบด้วยองค์ 8 ให้ข้ามสังสารวัฏ.
ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้นำหมู่นั้น. บทว่า ปลาโป ได้แก่ภายในว่างเปล่า คือ
ทุศีล. ด้วยบทว่า อาทิจฺจพนฺธุนํ นี้ ท่านพระวังคีสะกล่าวว่า ข้าพระองค์
ขอถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์พระอาทิตย์ เป็นศาสดาผู้ทรง
ทศพลญาณ ดังนี้.
จบอรรถกถาปวารณาสูตรที่ 7

8. ปโรสหัสสสูตร



การสรรเสริญพระพุทธเจ้าโดยคาถาที่ไม่คิดไว้ก่อน



[747] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ พระวิหาร
เชตวัน. อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี กับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่
1,250 รูป.
ก็โ่ดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้ภิกษุทั้งหลาย
เห็นแจ้ง ให้สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาอันประกอบด้วยนิพพาน.
ฝ่ายภิกษุเหล่านั้น ได้ทำธรรมนั้นให้สำเร็จประโยชน์ ใส่ใจกำหนด
ด้วยจิตทั้งปวง เงียโสตลงฟังธรรม.

[748] ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะมีความคิดดังนี้ว่า พระผู้มี-
พระภาคเจ้านี้ทรงแนะนำ ทรงชักชวนภิกษุทั้งหลายให้อาจหาญ ให้ร่าเริง
ด้วยธรรมีกถาอันประกอบด้วยนิพพาน ฝ่ายภิกษุเหล่านั้น ก็ทำธรรมนั้นให้
สำเร็จประโยชน์ ใส่ใจกำหนดด้วยจิตทั้งปวง เงี่ยโสตลงฟังธรรมนั้น อย่า
กระนั้นเลย เราควรจะสรรเสริญพระผู้มีพระภาคเจ้าในที่เฉพาะพระพักตร์
ด้วยคาถาทั้งหลายอันสมควรเถิด.
ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะลุกขึ้นจากอาสนะ ทำผ้าห่มเฉวียงบ่า
ข้างหนึ่งแล้ว ประนมอัญชลีเฉพาะพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เนื้อความนี้ย่อมแจ่มแจ้ง
กะข้าพระองค์ ข้าแต่พระสุคต เนื้อความนี้ย่อมแจ่มแจ้งกะข้าพระองค์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า เนื้อความนั่นจงแจ่มแจ้งกะเธอเถิด
วังคีสะ.
[749] ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะได้กราบทูลสรรเสริญพระผู้มี-
พระภาคเจ้า ในที่เฉพาะพระพักตร์ ด้วยคาถาทั้งหลายอันสมควรว่า
ภิกษุมากกว่าพัน ย่อมนั่งห้อมล้อม
พระสุคตผู้ทรงแสดงธรรมอันปราศจากธุลี
คือพระนิพพาน ธรรมอันหาภัยแต่ไหน
มิได้ ภิกษุทั้งหลายย่อมฟังธรรมอันปราศ-
จากมลทิน ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง
แสดงแล้ว พระสัมพุทธเจ้าผู้อันหมู่ภิกษุ
ห้อมล้อมแล้ว ย่อมงามจริงหนอ ข้าแต่
พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์เป็นผู้ทรง

นามว่าพญาช่างอันประเสริฐ เป็นพระฤาษี
ที่ 7 แห่งพระฤาษีทั้งหลาย เป็นผู้ดุจ
มหาเมฆยังฝนให้ตกในพระสาวก ข้าแต่
พระองค์ผู้ทรงแกล้วกล้าใหญ่ วังคีสะ
สาวกของพระองค์ ออกจากที่พักกลางวัน
ด้วยความใคร่เพื่อเฝ้าพระศาสดา ขอถวาย
บังคมพระบาท ดังนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า วังคีสะ คาถาเหล่านี้เธอตรึกตรอง
ไว้ก่อนหรือ ๆ ว่าแจ่มแจ้งกะเธอโดยฉับพลัน.
ท่านพระวังคีสะกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คาถาเหล่านี้
ข้าพระองค์มิได้ตรึกตรองไว้ก่อนเลย แต่ย่อมแจ่มแจ้งกะข้าพระองค์โดยทันที
เทียวแล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า วังคีสะ คาถาทั้งหลายที่เธอไม่ได้ตรึกตรอง
ไว้ในกาลก่อน จงแจ่มแจงกะเธอโดยประมาณยิ่งเถิด.
[750] ท่านพระวังคีสะ ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ได้พระเจ้าข้า แล้วได้ทูลสรรเสริญพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาทั้งหลายซึ่งตน
ไม่ได้ตรึกตรองไว้ในกาลก่อน โดยประมาณยิ่งว่า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใด
ทรงครอบงำหนทางผิดตั้งร้อยของมารเสีย
ได้ ทรงทำลายกิเลสเครื่องตรึงใจเพียงดัง
ตะปูทั้งหลายเสียได้เสด็จเที่ยวไป ท่าน
ทั้งหลายจงดูพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์

นั้น ผู้ทรงทำการแก้เครื่องผูกเสียได้ ผู้อัน
กิเลสอาศัยไม่ได้แล้ว ผู้ทรงจำแนกธรรม
เป็นส่วน ๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์
ใดได้ทรงบอกทางมีอย่างต่าง ๆ เพื่อเป็น
เครื่องข้ามโอฆะ เมื่อหนทางนั้น ซึ่งเป็น
ทางไม่ตาย อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
ตรัสบอกแล้ว พระสาวกทั้งหลายเป็นผู้
เห็นธรรมไม่ง่อนแง่น ตั้งมั่นแล้ว พระ-
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใด ทรงทำความ
รุ่งเรืองแทงตลอดซึ่งธรรมแล้ว ได้ทรง
เห็นธรรมเป็นที่ก้าวล่วงทิฏฐิทั้งปวง พระ
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ครั้นทรง
ทราบแล้วและทรงกระทำให้แจ้ง (ธรรม
นั้น) แล้ว ได้ทรงแสดงฐานะทั้ง 10
อันเลิศ ความประมาทอะไร ในธรรมอัน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้วด้วยดี
อย่างนี้ จักมีแก่ผู้รู้ทั้งหลาย เพราะฉะนั้น
แล บุคคลพึงเป็นผู้ไม่ประมาท น้อมใจ
ศึกษาในพระศาสนาของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าพระองค์นั้นทุกเมื่อ ดังนี้.

อรรถกถาปโรสหัสสสูตร



ในปโรสหัสสสูตรที่ 8 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ปโรสหสฺสํ ได้แก่เกิน 1,000. บทว่า อกุโตภยํ ความว่า
ในพระนิพพานไม่มีภัยแต่ที่ไหน ๆ. จริงอยู่ ผู้บรรลุพระนิพพานก็ไม่มีภัยแต่
ที่ไหน ๆ ฉะนั้น พระนิพพานจึงชื่อว่า ไม่มีภัยแต่ที่ไหน ๆ. บทว่า อิสีนํ
อิสิสตฺตโม
ความว่า เป็นพระฤาษีองค์ที่ 7 จำเดิมแต่พระพุทธเจ้าทรง
พระนามว่าวิปัสสี.
คำว่า กึ นุ เต วงฺคีส นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโดยที่เกิดเรื่องขึ้น.
ได้ยินว่า เรื่องเกิดขึ้นท่ามกลางสงฆ์ว่า พระวังคีสเถระสละกิจวัตร ไม่สนใจ
อุทเทสปริปุจฉาและโยนิโสมนสิการ เที่ยวแต่งคาถาทำจุณณียบทเรื่อยไป.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระดำริว่า ภิกษุเหล่านี้ไม่รู้ปฏิภาณสมบัติ
ของพระวังคีสะ เข้าใจว่า พระวังคีสะคิดแล้วคิดเล่าจึงกล่าว เราจักให้ภิกษุ
เหล่านั้นรู้ปฏิภาณสมบัติของท่าน ครั้นทรงพระดำริแล้ว จึงตรัสคำมีอาทิว่า กึ นุ
เต วงฺคีส
ดังนี้.
บทว่า อุมฺมคฺคสตํ ได้แก่ กิเลสที่ผุดขึ้นหลายร้อย. อนึ่ง ท่าน
กล่าวว่า สต เพราะเป็นทางดำเนินไป. บทว่า ปภิชฺช ขีลานิ ความว่า
เทียวทำลายกิเลส 5 อย่าง มีกิเลสเพียงดังตะปูคือราคะเป็นต้น. บทว่า ตํ
ปสฺสถ
ความว่า จงดูพระพุทธเจ้านั้นผู้เที่ยวครอบงำทำลายอย่างนี้. บทว่า
พนฺธปมุญฺจกรํ ได้แก่ ผู้กระทำการปลดเปลื้องกิเลสเป็นเครื่องผูก. บทว่า
อสิตํ ได้แก่ ผู้อันกิเลสไม่อาศัยแล้ว. บทว่า ภาคโส ปวิภชฺชํ ความว่า