เมนู

มารสังยุต



อรรถกถาตโปรกรรมสูตร



พึงทราบวินิจฉัยในตโปกรรมสูตรที่ 1 วรรคที่ 1 ต่อไป :-
บทว่า อุรุเวลายํ วิหรติ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้แทงตลอด
พระสัพพัญญุตญาณ ทรงอาศัยหมู่บ้านอุรุเวลาประทับอยู่ บทว่า ปฐมา-
ภิสมฺพุทฺโธ
ความว่า ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ภายใน 7 สัปดาห์แรกนั่นเทียว.
บทว่า ทุกฺกรการิกาย ได้แก่ ด้วยทุกกรกิริยา ที่ทรงทำมาตลอด 6 ปี.
บทว่า มโร ปาปิมา ความว่า ที่ชื่อว่ามาร เพราะทำเหล่าสัตว์ผู้ปฏิบัติ
เพื่อก้าวล่วงวิสัยของตนให้ตาย. ที่ชื่อว่า ปาปิมา เพราะประกอบสัตว์ไว้ใน
บาป หรือประกอบตนเองอยู่ในบาป มารนั้นมีชื่ออื่น ๆ บ้าง มีหลายชื่อ
เป็นต้นว่า กัณหะ อธิปติ วสวัตติ อันตกะ นมุจี ปมัตตพันธุ ดังนี้บ้าง.
แต่ในพระสูตรนี้ระบุไว้ 2 ชื่อเท่านั้น. บทว่า อุปสงฺกมิ ความว่า มารคิดว่า
พระสมณโคดมนี้บัญญัติว่า เราเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว จำเราาจักกล่าวข้อที่
พระสมณโคดมนั้นยังไม่เป็นผู้หลุดพ้น ดังนี้แล้ว จึงเข้าไปเฝ้า.
บทว่า ตโปกมฺมา อปกฺกมฺม แปลว่า หลีกออกจากตบะกรรม
ด้วยบทว่า อปรทฺโธ มารกล่าวว่า ท่านยังห่างไกลจากทางแห่งความหมดจด.
บทว่า อปรํ ตปํ ความว่า ตบะอันเศร้าหมองที่กระทำเพื่อประโยชน์แก่ตะบะ
อย่างอื่นอีก เป็นอัตตกิลมถานุโยค ประกอบตนให้ลำบากเปล่า. บทว่า สพฺพํ
นตฺถาวหํ โหติ
ความว่า รู้ว่าตบะทั้งหมดไม่นำประโยชน์มาให้เรา. บทว่า
ถิยา ริตฺตํว ธมฺมนิ ความว่า เหมือนถ่อเรือบนบกในป่า. ท่านอธิบายว่า

เปรียบเสมือนคนทั้งหลาย วางเรือไว้บนบกในป่า บรรทุกสิ่งของแล้ว เมื่อ
มหาชนขึ้นเรือแล้วก็จับถ่อ ยันมาข้างนี้ ยันไปข้างโน้น ความพยายามของ
มหาชนนั้น ไม่ทำเรือให้เขยื้อนไปแม้เพียงนิ้วหนึ่ง สองนิ้ว ก็พึงไร้ประโยชน์
ไม่นำประโยชน์มาให้ ข้อนั้น ฉันใด ข้อนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เรารู้ว่า ตบะ
อื่น ๆ ทั้งหมด ย่อมเป็นตบะที่ไม่นำประโยชน์มาให้ จึงสละเสีย.
ครั้นทรงละตบะอย่างอื่น ๆ นั้นแล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงทางที่
เกิดเป็นพระพุทธเจ้า จึงตรัสว่า สีลํ เป็นต้น. ในคำว่า สีลํ เป็นต้นนั้น
ทรงถือเอาสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ ด้วยคำว่า สีลํ ทรง
ถือเอาสัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ ด้วยสมาธิ ทรงถือเอาสัมมาทิฏฐิ
สัมมาสังกัปปะ ด้วยปัญญา. บทว่า มคฺคํ โพธาย ภาวยํ ได้แก่ ทรงเจริญ
อริยมรรคมีองค์ 8 นี้ เพื่อตรัสรู้. ก็ในคำนี้ บทว่า โพธาย ได้แก่ เพื่อ
มรรค เหมือนอย่างว่า คนทั้งหลายต้มข้าวต้มอย่างเดียว ก็เพื่อข้าวต้ม ปิ้งขนม
อย่างเดียว ก็เพื่อขนม ไม่ทำกิจไรๆ อย่างอื่น ฉันใด บุคคลเจริญมรรค
อย่างเดียว ก็เพื่อมรรค ฉันนั้น. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
มคฺคํ โพธาย ภาวยํ ดังนี้. บทว่า ปรมํ สุทฺธึ ได้แก่ พระอรหัต.
บทว่า นีหโต ได้แก่ ท่านถูกเราตถาคต ขจัดออกไป คือทำให้พ่ายแพ้ไปแล้ว.
จบอรรถกถาตโปรกรรมสูตรที่ 1

2. นาคสูตร



มารแปลงเพศเป็นพระยาช้าง



[419] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสรู้แล้วใหม่ ๆ ประทับอยู่ที่ต้นไม้
อชปาลนิโครธ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ณ อุรุเวลาประเทศ สมัยนั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งกลางแจ้ง ในราตรีอันมืดสนิท และฝนลงเม็ด
ประปรายอยู่.
[420] ครั้งนั้น มารผู้มีบาปประสงค์จะให้เกิดความกลัว ความ
ครั่นคร้าม ขนลุกขนพองแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงเนรมิตเพศเป็นพระยาช้าง
ใหญ่ เข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า พระยาช้างนั้นมีศีรษะเหมือนกับก้อนหิน
ใหญ่สีดำ งาทั้งสองของมันเหมือนเงินบริสุทธิ์ งวงเหมือนงอนไถใหญ่.
[21] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า นี่มารผู้มีบาป
ดังนี้ แล้วได้ตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า
ท่านจำแลงเพศทั้งที่งามและไม่งาม
ท่องเที่ยวอยู่ตลอดกาล อันยืดยาวนาน
มารผู้มีบาปเอ๋ย ไม่พอที่ท่านจะต้องจำแลง
เพศอย่างนั้นเลย ดูก่อนมารผู้กระทำซึ่ง
ที่สุด ตัวท่านเป็นผู้ที่เรากำจัดเสียแล้ว.

ครั้งนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้จัก
เรา พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง.