เมนู

ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดย
อเนกปริยาย ดุจหงายภาชนะที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง ส่อง
ประทีปในที่มืดด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักมองเห็นรูปได้ ข้าแต่ท่านพระโคดม
ข้าพระองค์ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้ากับพระธรรมและภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ ขอ
พระองค์ทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.

อรรถกถาสังครวสูตร



ในสังครวสูตรที่ 11 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ปจฺเจติ ได้แก่ ย่อมปรารถนา คือ ย่อมต้องการ. คฤหัสถ์
อ้อนวอนอยู่ จึงกล่าวว่า สาธุ ภนฺเต. ได้ยินว่า คฤหัสถ์นั่นเป็นสหายของ
พระเถระ. เพราะฉะนั้น พระเถระทูลขอร้องด้วยคิดว่า ผู้เป็นคนกำพร้าแม้ได้เรา
เป็นสหาย อย่าได้ถือมิจฉาที่ทิฏฐิแออัดอยู่ในอบายเลย. อีกนัยหนึ่ง พระเถระเข้า
ใจอยู่ว่า คฤหัสถ์ผู้นี้ มีบริวารมาก เมื่อเขาเลื่อมใส แล้ว ตระกูล 500 ตระกูล
จักประพฤติตามคำสั่งสอน จงได้ทูลขอร้อง. บทว่า อตฺถวสํ ได้แก่ อานิสงส์
ของประโยชน์ คือ เหตุของประโยชน์. บทว่า ปาปํ ได้แก่ อกุศลกรรมมี
ปาณาติบาตเป็นต้น. บทว่า ปวาเหมิ ได้แก่ เราลงน้ำแค่คอแล้วให้ลอยไป
คือ ให้หนีไป. คาถาว่า ธมฺโม มีใจความดังกล่าวแล้วนั่นแล.
จบอรรถกถาสังครวสูตรที่ 11

12. โขมทุสสสูตร



ว่าด้วยธรรมของสภา



[724] ข้าพเจ้าได้สดับแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ นิคมชื่อว่า โขมทุสสะ
ของเจ้าศากยะ ในแคว้นสักกะ.
ครั้งในเวลาเช้า พระผู้มีพระเจ้าทรงนุ่งแล้วทรงถือบาตรและจีวร เสด็จ
เข้าไปบิณฑบาตยังโขมทุสสนิคม.
สมัยนั้น พราหมณ์และคฤหบดีชาวโชมทุสสนิคม ประชุมกันอยู่ใน
สภาด้วยกรณียกิจบางอย่าง และฝนกำลังตกอยู่ประปราย.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปยังสภานั้น.
พราหมณ์และคฤหบดีชาวโชมทุสสนิคม ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จมาแต่ไกล ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า คนพวกไหนชื่อว่าสมณะโล้น และ
คนพวกไหนรู้จักธรรมของสภา.
[725] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะพราหมณ์และคฤหบดี
ชาวโขมทุสสนิคม ด้วยพระคาถาว่า
ในที่ใดไม่มีคนสงบ ที่นั้นไม่ชื่อว่า
สภา คนเหล่าไดไม่กล่าวธรรม คนเหล่า
นั้นไม่ชื่อว่าคนสงบ คนละราคะโทสะ
และโมหะแล้วกล่าวธรรมอยู่ คนเหล่านั้น
ชื่อว่าคนสงบ.

[726] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์และ
คฤหบดีชาวโขมทุสสนิคม ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ท่านพระโคดม