เมนู

พราหมณมหาศาลนั้น ถือผ้าคู่หนึ่งไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังที่
ประทับ สนทนาปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ท่านพระโคดม ข้าพเจ้าชื่อว่า
เป็นพราหมณ์ ย่อมแสวงหาทรัพย์สำหรับอาจารย์มาให้อาจารย์ ขอท่าน
พระโคดมผู้เป็นอาจารย์ของข้าพเจ้าจงรับส่วนของอาจารย์เถิด.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับด้วยความอนุเคราะห์.
[693] ครั้งนั้น พราหมณมหาศาลนั้น ได้กราบทูลพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่
ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรม
โดยอเนกปริยาย ดุจหงายภาชนะที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง
ส่องประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่าคนมีจักษุจักมองเห็นรูปได้ ข้าแต่ท่านพระ-
โคดม ข้าพระองค์ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า กับพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์
ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงพระรัตนตรัย
เป็นสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.

อรรถกถามหาศาลสูตร



ในมหาศาลสูตรที่ 4 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ลูโข ลูขปาปุรโณ ได้แก่เป็นคนแก่ มีผ้าห่มเก่า. บทว่า
อุปสงฺกมิ ความว่า เพราะเหตุไร พราหมณ์จึงเข้าไปหา. เล่ากันมาว่า
ในเรือนของพราหมณ์นั้นได้มีทรัพย์ถึง 8 แสน. พราหมณ์นั้นได้ทำอาวาห-
มงคลแก่บุตร 4 คน จ่ายทรัพย์ถึง 4 แสน. ลำดับนั้น เมื่อนางพราหมณี

ของพราหมณ์นั้น ทำกาละแล้ว บุตรทั้งหลายปรึกษากันว่า ถ้าบิดาจักนำ
นางพราหมณีอื่นมา ตระกูลจักแตก ด้วยอำนาจบุตรที่เกิดในท้องของนาง
เอาเถอะเราจักสงเคราะห์ท่าน. บุตรทั้ง 4 คนนั้น บำรุงด้วยของกินและ
เครื่องนุ่งห่มเป็นต้นอันประณีต กระทำการนวดมือและเท้าเป็นต้น สงเคราะห์
วันหนึ่ง เมื่อพราหมณ์นั้นนอนกลางวันแล้วลุกขึ้น จึงพากันนวดมือและเท้า
กล่าวโทษในการอยู่ครองเรือนเฉพาะอย่าง จึงอ้อนวอนว่า พวกฉันจักบำรุง
ท่านโดยทำนองนี้จนตลอดชีวิต ขอท่านจงให้ทรัพย์แม้ที่เหลือแก่พวกฉัน.
พราหมณ์ได้ให้ทรัพย์แก่บุตรคนละหนึ่งแสนอีก แล้วแบ่งเครื่องอุปโภคบริโภค
ทั้งหมดออกเป็น 4 ส่วน นอกจากผ้านุ่งห่มของตน มอบให้ไป. บุตรคนโต
บำรุงพราหมณ์นั้น 2-3 วัน.
ครั้นวันหนึ่ง หญิงสะใภ้ยืนอยู่ที่ซุ้มประตู พูดกะพราหมณ์ผู้อาบน้ำ
แล้วมาอยู่อย่างนี้ว่า เหตุไรท่านจึงให้ทรัพย์แก่ลูกคนโตเป็นร้อยเป็นพันจน
เหลือเฟือ บุตรทั้งหมดท่านให้คนละสองแสนมิใช่หรือ ท่านไม่รู้ทางไปเรือน
ของบุตรคนอื่น ๆ หรือ. พราหมณ์โกรธ ว่าอีหญิงถ่อย จงฉิบหาย แล้วได้
ไปเรือนบุตรอื่น. แต่นั้น 2-3 วัน ก็หนีไปเรือนอื่นด้วยอุบายอย่างนี้
เหตุนั้น เมื่อไม่ได้เข้าไปแม้ในเรือนหลังหนึ่งก็บวชเป็นตาผ้าขาว เที่ยวภิกขาจาร
โดยกาลล่วงไปก็แก่ชราลง มีร่างกายเหี่ยวแห้งเพราะการกินไม่ดีและนอนลำบาก
กลับจากภิกขาจารนอนบนตั่งหลับไป ลุกขึ้นนั่งตรวจดูตนเมื่อไม่เห็นที่พึ่งในบุตร
จึงคิดว่า ได้ยินว่า พระสมณโคดม มีพระพักตร์ไม่สะยิ้ว มีพระพักตร์เผย
พูดจาน่าสบายใจ ฉลาดในปฏิสันถาร เราอาจเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมได้
ปฏิสันถาร พราหมณ์จัดผ้านุ่งห่มเรียบร้อย ถือภิกขาภาชนะเข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ.

บทว่า ทาเรหิ สํปุจฺฉ ฆรา นิกฺขาเมนฺติ ความว่า บุตร
ทั้งหลายถือเอาทรัพย์อันเป็นของ ๆ ข้าพระองค์ทั้งหมด รู้ว่าข้าพระองค์ไม่มี
ทรัพย์จึงปรึกษากับภรรยาของตนแล้วขับไล่ข้าพระองค์ออกจากเรือน.
บทว่า นนฺทิสฺสํ ความว่า เราเกิดความเพลิดเพลิน ยินดี ปราโมทย์.
บทว่า ภาวมิจฺฉิสํ ความว่า เราปรารถนาความเจริญ. บทว่า สาว วาเทนฺติ สูกรํ
ความว่า พวกสุนัขเป็นฝูง ๆ เห่าไล่สุกร เห่าร้องขึ้นดัง ๆ บ่อย ๆ ฉันใด
บุตรทั้งหลายก็ฉันนั้น พร้อมกับภรรยาขับไล่เราผู้ร้องเสียงดัง ๆ ให้หนีไป.
บทว่า อสนฺตา ได้แก่ อสัตบุรุษทั้งหลาย. บทว่า ชมฺมา แปลว่า
ผู้ลามก. บทว่า ภาสเร แปลว่า ย่อมกล่าว. บทว่า ปุตฺตรูเปน ได้แก่
ด้วยเพศของบุตร. บทว่า วโยคตํ ได้แก่ ย่อมละ คือทอดทิ้งเราผู้ล่วงวัย
ทั้ง 3 ตั้งอยู่ในปัจฉิมวัย.
บทว่า นิพฺโภโค แปลว่า ไม่มีเครื่องบริโภค. บทว่า ขาทนา
อปนียติ
ความว่า คนทั้งหลายย่อมให้ของกินมีรสต่าง ๆ แก่ม้าชั่วเวลาที่มัน
ยังหนุ่มมีกำลังวิ่งไว ต่อแต่นั้น พอมันแก่หมดกำลังก็ทอดทิ้ง มันไม่ได้รับการ
ดูแล ต้องเที่ยวไปหาหญ้าแห้งในดงกับแม่โคทั้งหลาย บิดาชื่อว่า ไม่มีโภคะ
เพราะทรัพย์ทั้งปวงถูกปล้นไปหมด เวลาแก่เหมือนม้านั้น พระเถระผู้เป็น
บิดาของตนพาล ก็เสมือนเราต้องขออาหารในเรือนคนอื่น.
ศัพท์ว่า ยญฺเจ เป็นนิบาต. ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า เขาว่าไม้เท้า
ยังประเสริฐกว่า ดีกว่าบุตรของเราที่ไม่เชื่อฟัง ไม่ยำเกรง มีอยู่ในปกครอง.
บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงว่าไม้เท้านั้นเป็นของประเสริฐ จึงตรัสว่า จณฺฑํปิ
โคณํ
ดังนี้เป็นต้น

บทว่า ปุเร โหติ ได้แก่ใช้นำหน้า อธิบายว่า เอาไม้เท้านั้นไว้
ข้างหน้าไป ย่อมสะดวก. บทว่า คาธเมติ ความว่า เวลาลงน้ำ ใช้ไม้เท้า
เป็นที่พึ่งในน้ำลึก.
บทว่า ปริยาปุณิตฺวา ได้แก่ เรียนจนคล่องปาก. บทว่า สนฺนิ-
สินฺเนสุ
ความว่า ในวันที่พวกพราหมณ์ประชุมกันเช่นนั้น เมื่อพวกบุตร
ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวงเข้าที่ประชุมนั้น นั่งบนอาสนะอันคู่ควรอย่าง
ใหญ่ ท่ามกลางพวกพราหมณ์. บทว่า อภาสิ ความว่า พราหมณ์แก่คิดว่า
นี้เป็นเวลาของเราแล้ว จึงเข้าไปกลางที่ประชุม ยกมือขึ้นกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ
ทั้งหลาย เรามีความประสงค์จะกล่าวคาถาแก่ท่านทั้งหลาย เมื่อเรากล่าวแก่
พวกท่าน ท่านทั้งหลายจักฟังกันไหม เมื่อพวกพราหมณ์กล่าวว่า กล่าวเถิด
กล่าวเถิด ท่านพราหมณ์ พวกเราจักฟัง ดังนี้ จึงได้ยืนกล่าวทีเดียว. ก็โดย
สมัยนั้นแล พวกมนุษย์มีประเพณีอยู่ว่า ผู้ใดกินของของบิดามารดา ไม่เลี้ยงดู
บิดามารดา ผู้นั้นควรให้ตายเสีย ดังนี้ เพราะฉะนั้น บุตรพราหมณ์เหล่านั้น
จึงหมอบลงที่เท้าทั้งสองของบิดา วิงวอนว่า พ่อจ๋า ขอพ่อจงให้ชีวิตแก่พวก
ฉันเถิด. เพราะหัวใจของบิดาอ่อนโยนต่อลูก ๆ พราหมณ์นั้นจึงกล่าวว่า
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายอย่าให้ลูกโง่ ๆ ของฉันพินาศเสียเลย
พวกเขาจักเลี้ยงดูเรา ดังนี้.
ลำดับนั้น คนทั้งหลายกล่าวกะลูก ๆ ของพราหมณ์นั้นว่า ผู้เจริญ
ทั้งหลาย ตั้งแต่วันนี้ไป ถ้าพวกเธอไม่ปรนนิบัติบิดาให้ดี พวกเราจักฆ่า
พวกเธอเสีย. ลูก ๆ เหล่านั้นมีความกลัว จึงนำบิดาไปยังเรือนปรนนิบัติ.
เพื่อจะแสดงเรื่องนั้น ท่านจึงกล่าวคำเป็นต้นว่า อถโข ตํ พฺราหฺมณมหา
สาลํ
ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เนตฺวา ความว่า ให้บิดานั่งบนตั่ง
แล้วยกขึ้น นำไปด้วยตนเอง. บทว่า นฺหาเปตฺวา ความว่า เอาน้ำมันทาตัว

แล้วนวดฟั้น ให้อาบด้วยผงของหอมเป็นต้น. ให้เรียกนางพรหมณีทั้งหลายมา
กล่าวว่า ตั้งแต่วันนี้ไป พวกเธอจงปรนนิบัติบิดาของเราให้ดี ถ้าพวกเธอ
ประมาท พวกเราจักขับไล่พวกเธอออกจากเรือน ดังนี้แล้วให้บริโภคโภชนะ
อย่างประณีต.
พราหมณ์ได้อาหารดี นอนสบาย สองสามวันเท่านั้นก็มีกำลัง มี
ร่างกายเอิบอิ่ม แลดูอัตภาพแล้วคิดได้ว่า เราได้สมบัตินี้เพราะอาศัยพระ-
สมณโคดม จึงถือเครื่องบรรณาการไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า. เพื่อจะแสดง
ความนั้น ท่านจึงกล่าวคำเป็นต้นว่า อถโข โส ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า เอตทโวจ ความว่า พราหมณ์วางผ้าคู่หนึ่งแทบบาทมูล แล้วได้กล่าว
คำนี้ คือกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าในเวลารับสรณคมน์เสร็จนั่นเอง อย่างนี้
ว่า ข้าแต่พระโคคมผู้เจริญ พวกลูก ๆ ให้ภัตตาหารประจำแก่ข้าพระองค์
4 ส่วน ข้าพระองค์ขอถวายแด่พระองค์ 2 ส่วนจาก 4 ส่วนนั้น ข้าพระองค์
จักบริโภคเอง 2 ส่วน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พราหมณ์ ท่านอย่ามอบให้
เฉพาะส่วนที่ดีเลย เราตถาคตจักไปสถานที่ชอบใจของเราเท่านั้น. พราหมณ์
กราบทูลว่า ผู้เจริญ อย่างนั้นสิ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วไปเรือน
เรียกพวกลูกมาบอกว่า ลูก ๆ ทั้งหลาย พระสมณโคดมเป็นเพื่อนของพ่อ
พ่อถวายภัตตาหารประจำของพ่อ 2 ส่วนแก่พระสมโคดมนั้น เมื่อท่านมาถึง
บ้าน พวกเจ้าอย่าลืมเสียล่ะ พวกลูกพากันรับคำว่า ดีแล้วพ่อ. เช้าวันรุ่งขึ้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือบาตรจีวรเสด็จไปประตูนิเวศน์ ของลูกคนโต. พอ
เขาเห็นพระศาสดาเท่านั้น รับบาตรจากพระหัตถ์ นิมนต์ให้เสด็จเข้าเรือน
ให้ประทับนั่งเหนือบัลลังก์ซึ่งคู่ควรมากแล้ว ได้ถวายโภชนะอันประณีต. วัน
รุ่งขึ้น พระศาสดาเสด็จไปเรือนของลูกอีกคนหนึ่ง วันรุ่งขึ้นเสด็จไปเรือนของ

ลูกอีกคนหนึ่ง พระองค์เสด็จไปเรือนของลูกพราหมณ์ทุกคนตามลำดับ ด้วย
ประการฉะนี้. พวกลูกพราหมณ์ทุกคนได้กระทำสักการะเหมือน ๆ กัน.
อยู่มาวันหนึ่ง ที่เรือนของลูกคนโตมีงานมงคล. ลูกคนโตนั้นกล่าวกะ
บิดาว่า พ่อพวกเราจะถวายมงคลแก่ใคร. พราหมณ์กล่าวว่า พวกเราไม่รู้จัก
ใครอื่นเลย พระสมณโคดมเป็นสหายของพ่อมิใช่หรือ ลูกคนโตกล่าวว่า
ถ้าอย่างนั้น พ่อจงนิมนต์พระสมณโคดมมาฉันภัตตาหารในวันรุ่งขึ้นพร้อมด้วย
ภิกษุประมาณ 500 รูป พราหมณ์ได้ทำเหมือนอย่างนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงรับนิมนต์แล้ว แวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์ได้เสด็จไปสู่ประตูเรือนของ
ลูกชายคนโตนั้น ในวันรุ่งขึ้น. ลูกชายคนโตนั้น เชิญเสด็จพระศาสดาให้เข้า
ไปสู่เรือน ซึ่งทาด้วยของเขียวประดับด้วยเครื่องประดับทุกอย่าง นิมนต์
ภิกษุสงฆ์ ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้นั่งบนอาสนะที่ปูลาดแล้ว ได้ถวาย
ข้าวปายาสมีน้ำน้อย และของเคี้ยวต่างชนิด. ลำดับนั้น ลูกทั้งสี่คนของพราหมณ์
นั่งเฝ้าพระศาสดา กราบทูลในระหว่างเสวยภัตตาหารว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
พวกข้าพระองค์ปรนนิบัติบิดาของพวกข้าพระองค์ มิได้ประมาท ขอพระองค์
จงดูอัตภาพ. พระศาสดาตรัสว่า ขึ้นชื่อว่า การเลี้ยงดูบิดามารดาที่พวกเธอทำ
แล้วเป็นความดี พวกโบราณบัณฑิตเคยประพฤติกันอย่างสม่ำเสมอทีเดียว
แล้วตรัสนาคราชชาดก ยกอริยสัจ 4 แสดงธรรม ในเวลาจบเทศนาพราหมณ์
พร้อมด้วยลูก 4 คน ลูกสะใภ้ 4 คน ส่งญาณไปตามกระแสเทศนา ตั้งอยู่
ในโสดาปัตติผล. จำเดิมแต่นั้น พระศาสดามิได้เสด็จไปที่เรือนของชนเหล่านั้น
ในกาลทั้งปวง ดังนี้แล.
จบอรรถกถามหาศาลสูตรที่ 4

5. มานัตถัทธสูตร



ว่าด้วยการทำความเคารพในบุคคล 4 พวก



[694] สาวัตถีนิทาน.
สมัยนั้น พราหมณ์มีนามว่ามานัตถัทธะ อาศัยอยู่ในกรุงสาวัตถี เขา
ไม่ไหว้มารดา บิดา อาจารย์ พี่ชาย.
[695] สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าอันบริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมทรง
แสดงธรรมอยู่.
ครั้งนั้น มานัตถัทธพราหมณ์มีความดำริว่า พระสมณโคดมนี้อัน
บริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมแสดงธรรมอยู่ ถ้ากระไร เราจะเข้าไปเฝ้าพระสมณ-
โคดมยังที่ประทับ ถ้าพระสมณโคดมตรัสกะเรา เราก็จะพูดกะท่าน ถ้าพระ
สมณโคดมไม่ตรัสกะเรา เราก็จะไม่พูดกะท่าน ลำดับนั้นแล มานัตถัทธ
พราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังที่ประทับแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสด้วย มานัตถัทธพราหมณ์ต้อง
การจะกลับจากที่นั้น ด้วยคิดว่าพระสมณโคดมนี้ไม่รู้อะไร.
[696] ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความปริวิตกในใจของ
มานัตถัทธพราหมณ์ด้วยพระหฤทัยแล้ว ได้ตรัสกะมานัตถัทธพราหมณ์ด้วย
พระคาถาว่า
ดูก่อนพราหมณ์ ใครในโลกนี้มี
มานะไม่ดีเลย ผู้ใดมาด้วยประโยชน์ใด
ผู้นั้นพึงเพิ่มพูนประโยชน์นั้นแล.

[697] ครั้งนั้น มานัตถัทธพราหมณ์คิดว่า พระสมณโคดมทราบ
จิตเรา จึงหมอบลงด้วยศีรษะที่ใกล้พระบาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ณ ที่นั้นเอง