เมนู

อรรถกถาเทวหิตสูตร



ในสูตรที่ 3 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-
บทว่า วาเตหิ ได้แก่ ด้วยลมในท้อง. เล่ากันมาว่า เมื่อพระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงกระทำทุกกรกิริยา 6 พรรษา ทรงนำเอาถั่วเขียวและถั่วพู
เป็นต้นอย่างละฟายมือนาเสวย ลมในพระอุทรกำเริบเพราะเสวยไม่ดีและบรรทม
ลำบาก. สมัยต่อมา ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณแล้ว แม้เสวยโภชนะประณีต
อาพาธนั้นก็ยังปรากฏตัวเป็นระยะ ๆ คำนี้ท่านกล่าวหมายเอาอาพาธนั้น . บทว่า
อุปฏฺฐาโก โหติ ความว่า เป็นอุปัฏฐากในคราวยังไม่มีอุปัฏฐากประจำ
ตอนปฐมโพธิกาล. ได้ยินว่า ในเวลานั้น บรรดาพระอสีติมหาเถระ ผู้ที่ไม่
เคยเป็นอุปัฏฐากของพระศาสดาไม่มี. ก็พระเถระเหล่านี้ คือ พระนาคสุมนะ
พระอุปวาณะ พระสุนักขัตตะ พระจุนทะ พระสมณุทเทสะ พระสาคตะ
พระเมฆิยะ เป็นอุปัฏฐากที่มีชื่อมาในบาลี แต่ในเวลานี้ พระอุปวาณเถระ
ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ได้อุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกอย่าง เช่นกวาดบริเวณ
ถวายไม้ชำระพระทนต์ จัดถวายน้ำสรง ถือบาตรจีวรตามเสด็จ. บทว่า
อุปสงฺกมิ ด้วยยามว่า ได้ยินว่า ตลอดเวลา 20 ปี ในปฐมโพธิกาล ป่าปราศจาก
ควันไฟ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ยังมิได้ทรงอนุญาต ที่ต้มน้ำแก่ภิกษุทั้งหลาย
ก็พราหมณ์นั้นให้ทำเตาเป็นแถว ยกภาชนะใหญ่ ๆ ขึ้นตั้งบนเตา ให้ทำน้ำร้อน
แล้วขายน้ำร้อนพร้อมกับผงสำหรับอาบน้ำเป็นต้นเลี้ยงชีพ. ผู้ประสงค์อาบน้ำ
ไปในที่นั้นแล้วให้ราคา (ซื้อ) อาบน้ำลูบไล้ด้วยของหอม ประดับดอกไม้
แล้วหลีกไป. เพราะฉะนั้น พระเถระจึงเข้าไปในที่นั้น.

บทว่า กึ ปตฺถยาโน ได้แก่ ปรารถนาอะไร บทว่า กึ เอสํ
ได้แก่แสวงหาอะไร. บทว่า ปูชิโต ปูชเนยฺยานํ ความว่า พระเถระเริ่ม
กล่าวสดุดีพระทศพลนี้. ท่านกล่าวคำนี้ ไว้ว่า ได้ยินว่า พระเถระไปเพื่อ
คิลานเภสัช กล่าวสรรเสริญภิกษุไข้ ดังนี้. จริงอยู่ พวกมนุษย์ได้ฟังคำ
สรรเสริญแล้ว ย่อมสำคัญเภสัชที่ควรถวายโดยเคารพ. ภิกษุไข้ได้เภสัชอันเป็น
สัปปายะแล้ว ย่อมหายไข้ฉับพลันทีเดียว ความจริงเมื่อจะกล่าว ไม่ควรกล่าว
พาดพิงไปถึงฌานวิโมกข์สมาบัติและมรรคผล. แต่ควรกล่าวอาคมนียปฏิปทา
อย่างนี้ คือ ผู้มีศีล มีความละอาย มักรังเกียจ พหูสูต ทรงไว้ซึ่งนิกายเป็นที่มา
ผู้ตามรักษาอริยวงศ์. บทว่า ปูชเนยฺยานํ ความว่า พระอสีติมหาเถระ ชื่อว่า
ปูชเนยฺยา เพราะโลกพร้อมทั้งเทวโลกควรบูชา. ท่านเหล่านั้นนั่นแล ชื่อว่า
สกฺกเรยฺยา เพราะควรสักการะ ชื่อว่า อปจิเนยฺยา เพราะควรทำความ
นอบน้อมแก่ท่านเหล่านั้นทีเดียว. พระเถระเมื่อประกาศคุณของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้านั้นว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์เหล่านั้นบูชา
สักการะนอบน้อม ดังนี้ จึงกล่าวอย่างนี้. บทว่า หาตเว แปลว่า เพื่อนำไป.
บทว่า ผาณิตสฺส จ ปูฏํ ได้แก่ก้อนน้ำอ้อยใหญ่ที่ปราศจากขี้เถ้า
ได้ยินว่า พราหมณ์นั้น ถามว่า พระสมณโคดมทรงไม่สบายเป็นอะไร ได้
ทราบว่า ลมในท้อง จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น พวกเรารู้จักยาในเรื่องนี้ ต่อแต่นี้
ขอท่านจงเอาน้ำหน่อยหนึ่งละลายน้ำอ้อยนี้ ถวายให้ทรงดื่มในเวลาสรงเสร็จ
พระเสโทจักซึมออกภายนอกพระสรีระด้วยน้ำร้อน ลมในท้องจักหายด้วยยานี้
ด้วยประการฉะนี้ พระสนณโคดมจักทรงสำราญ ด้วยอาการดัง ว่ามาน ดังนี้แล้ว
จึงได้ถวายใส่ลงในบาตรพระเถระ.
บทว่า อุปสงฺกมิ ความว่า ได้ยินว่า เมื่ออาพาธนั้นสงบแล้ว ได้
เกิดเรื่องพิสดารว่า เทวหิตพราหมณ์ถวายเภสัชแด่พระตถาคต โรคสงบเพราะ

เภสัชนั้นนั่นเอง น่าอัศจรรย์ ทานของพราหมณ์เป็นบรมทาน. พราหมณ์
ผู้ประสงค์ชื่อเสียง ได้ฟังดังนั้นแล้ว เกิดโสมนัสว่า กิตติศัพท์ของเรานี้ขจรไป
แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้เอง ประสงค์จะให้เขารู้เรื่องที่ตนกระทำแล้ว ในขณะ
นั้นเอง เข้าไปเฝ้าทำความคุ้นเคยในพระทศพล.
บทว่า ทชฺชา แปลว่า พึงให้. บทว่า กถํ หิ ยชมานสฺส ได้แก่
บูชาด้วยเหตุอะไร. บทว่า อิชฺฌติ ได้แก่มีผลมาก. บทว่า โย เวทิ ความว่า
ได้กระทำผู้ที่รู้ทั่วถึงให้ปรากฏชัด. ปาฐะว่า โย เวติ ดังนี้ก็มี. อธิบายว่า
ผู้ใดย่อมรู้ คือรู้ทั่วถึง. บทว่า ปสฺสติ ได้แก่ ย่อมเห็นด้วยทิพยจักษุ. บทว่า
ชาติกฺขยํ ได้แก่พระอรหัต. บทว่า อภิญฺญา โวสิโต ความว่า อยู่จบ
พรหมจรรย์ คือถึงที่สุดพรหมจรรย์ คือความเป็นผู้ทำกิจเสร็จแล้ว เพราะรู้.
บทว่า เอวํ หิ ยชมานสฺส ความว่า บูชาอยู่ด้วยอาการนี้ คืออาการบูชา
พระขีณาสพ.
จบอรรถกถาเทวหิตสูตรที่ 3

4. มหาศาลสูตร



ว่าด้วยบุตรขับบิดาออกจากเรือน



[689] สาวัตถีนิทาน.
ครั้งนั้น พราหมณมหาศาลคนหนึ่ง เป็นคนปอน นุ่งห่มปอน
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังที่ประทับ สนทนาปราศรัยกับ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะพราหมณมหาศาลนั้น ผู้นั่ง ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่งแล้วว่า ดูก่อนพราหมณ์ ทำไมท่านจึงเป็นคนปอน นุ่งห่มก็ปอน.