เมนู

ดิรัจฉานมีสุนัขบ้านและสุนัขจิ้งจอกเป็นต้น. บทว่า สีวถิกํ ได้แก่ป่าช้า.
อธิบายว่า นำสัตว์ตายแล้วไปในป่าช้านั้นบ่อย ๆ. บทว่า มคฺคญฺจ ลทฺธา
อปุนพฺภวาย
ความว่า พระนิพพานชื่อว่ามรรค เพราะไม่เกิดอีก อธิบายว่า
ได้พระนิพพานนั้น.
บทว่า เอวํ วุตฺเต ความว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืนอยู่
ระหว่างถนนนั่นแหละ ทรงแสดงปุนัปปุนธรรม 16 ประการ ได้ตรัสอย่างนี้.
บทว่า เอตทโวจ ความว่า ในที่สุดเทศนา พราหมณ์พร้อมด้วยบุตรภรรยา
พวกมิตรและญาติ เลื่อมใส ถวายบังคมแทบพระยุคลบาทของพระผู้มีพระ
ภาคเจ้า กล่าวคำนี้ว่า อภิกฺกนฺตํ โภ เป็นต้น.
จบอรรถกถาอุทยสูตรที่ 2

3. เทวหิตสูตร



ว่าด้วยการให้ไทยธรรม



[682] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี.
สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประชวรด้วยโรคลม.
ท่านพระอุปวาณะ เป็นอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเรียกท่านพระอุปวาณะมาตรัสว่า
อุปวาณะ เธอจงรู้ น้ำร้อนเพื่อฉัน ท่านพระอุปวาณะทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้ว นุ่งสบงถือบาตรและจีวรเข้าไปยังที่อยู่ของเทวหิตพราหมณ์ แล้วยืนนิ่ง
อยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

[683] เทวหิตพราหมณ์ได้เห็นท่านพระอุปวาณะยืนนิ่งอยู่ ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง ได้กล่าวกะท่านพระอุปวาณะด้วยคาถาว่า
ท่านเป็นสมณะศีรษะโล้น ครองผ้า
สังฆาฏิยืนนิ่งอยู่ ท่านปรารถนาอะไร
แสวงหาอะไร มาเพื่อขออะไรหรือ.

[684] ท่านพระอุปวาณะตอบว่า
พระสุคตมุนีเป็นอรหันต์ในโลก
ประชวรด้วยโรคลม ถ้ามีน้ำร้อน ขอท่าน
จงถวายแก่พระสุคตมุนีเกิดพราหมณ์ ฉัน
ปรารถนาจะเอาไปถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า
ในบรรดาผู้ที่ควรแก่การบูชา.

[685] ครั้งนั้น เทวหิตพราหมณ์ให้บุรุษ (คนใช้) ถือกาน้ำร้อน
และห่อน้ำอ้อย ( ตามไป) ถวายท่านพระอุปวาณะ.
ลำดับนั้น ท่านพระอุปวาณะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังที่ประทับ
แล้วอัญเชิญให้พระผู้มีพระภาคเจ้าสรงสนาน และละลายน้ำอ้อยด้วยน้ำร้อน
แล้วถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหายประชวรนั้น.
[686] ต่อมา เทวหิตพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังที่
ประทับแล้ว ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึก
ถึงกันไปแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
เทวหิตพราหมณ์นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มี
พระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า

พึงให้ไทยธรรมที่ไหน ทานอัน
บุคคลให้ที่ไหนมีผลมาก ทักษิณาสำเร็จ
ในที่ไหน แก่บุคคลผู้บูชาอย่างไร.

[687] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ผู้ใดรู้ขันธ์ที่เคยอาศัยในก่อน แล
เห็นสวรรค์และอบาย บรรลุพระอรหัต
อันเป็นที่สิ้นชาติ อยู่จบแล้วเพราะรู้ยิ่ง
เป็นมุนี พึงให้ไทยธรรมในผู้นี้ ทานที่ให้
แล้วในผู้นี้มีผลมาก ทักษิณาย่อมสำเร็จ
แก่บุคคลผู้บูชาอย่างนี้แหละ.

[688] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว เทวหิตพราหมณ์ได้
กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์
แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์
ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ดุจหงายภาชนะที่คว่ำ เปิดของที่ปิด
บอกทางแก่คนหลงทาง ส่องประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักมอง
เห็นรูปได้ ข้าแต่ท่านพระโคดม ข้าพระองค์ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า กับ
พระธรรม. และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำข้าพระองค์ว่า
เป็นอุบาสก ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.

อรรถกถาเทวหิตสูตร



ในสูตรที่ 3 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-
บทว่า วาเตหิ ได้แก่ ด้วยลมในท้อง. เล่ากันมาว่า เมื่อพระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงกระทำทุกกรกิริยา 6 พรรษา ทรงนำเอาถั่วเขียวและถั่วพู
เป็นต้นอย่างละฟายมือนาเสวย ลมในพระอุทรกำเริบเพราะเสวยไม่ดีและบรรทม
ลำบาก. สมัยต่อมา ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณแล้ว แม้เสวยโภชนะประณีต
อาพาธนั้นก็ยังปรากฏตัวเป็นระยะ ๆ คำนี้ท่านกล่าวหมายเอาอาพาธนั้น . บทว่า
อุปฏฺฐาโก โหติ ความว่า เป็นอุปัฏฐากในคราวยังไม่มีอุปัฏฐากประจำ
ตอนปฐมโพธิกาล. ได้ยินว่า ในเวลานั้น บรรดาพระอสีติมหาเถระ ผู้ที่ไม่
เคยเป็นอุปัฏฐากของพระศาสดาไม่มี. ก็พระเถระเหล่านี้ คือ พระนาคสุมนะ
พระอุปวาณะ พระสุนักขัตตะ พระจุนทะ พระสมณุทเทสะ พระสาคตะ
พระเมฆิยะ เป็นอุปัฏฐากที่มีชื่อมาในบาลี แต่ในเวลานี้ พระอุปวาณเถระ
ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ได้อุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกอย่าง เช่นกวาดบริเวณ
ถวายไม้ชำระพระทนต์ จัดถวายน้ำสรง ถือบาตรจีวรตามเสด็จ. บทว่า
อุปสงฺกมิ ด้วยยามว่า ได้ยินว่า ตลอดเวลา 20 ปี ในปฐมโพธิกาล ป่าปราศจาก
ควันไฟ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ยังมิได้ทรงอนุญาต ที่ต้มน้ำแก่ภิกษุทั้งหลาย
ก็พราหมณ์นั้นให้ทำเตาเป็นแถว ยกภาชนะใหญ่ ๆ ขึ้นตั้งบนเตา ให้ทำน้ำร้อน
แล้วขายน้ำร้อนพร้อมกับผงสำหรับอาบน้ำเป็นต้นเลี้ยงชีพ. ผู้ประสงค์อาบน้ำ
ไปในที่นั้นแล้วให้ราคา (ซื้อ) อาบน้ำลูบไล้ด้วยของหอม ประดับดอกไม้
แล้วหลีกไป. เพราะฉะนั้น พระเถระจึงเข้าไปในที่นั้น.